สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก)
Health Insurance System Research Office (HISRO)
http://hdl.handle.net/11228/13
2024-03-29T13:27:17Z
2024-03-29T13:27:17Z
ถอดบทเรียนการดำเนินมาตรการส่งเสริมและกำกับการใช้ยาในโรงพยาบาลนำร่อง 3 แห่ง : โรงพยาบาลลำปาง โรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลศิริราช
สายศิริ ด่านวัฒนะ
อภิญญา อิสระชาญพานิช
http://hdl.handle.net/11228/3674
2022-01-25T09:31:11Z
2555-07-01T00:00:00Z
ถอดบทเรียนการดำเนินมาตรการส่งเสริมและกำกับการใช้ยาในโรงพยาบาลนำร่อง 3 แห่ง : โรงพยาบาลลำปาง โรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลศิริราช
สายศิริ ด่านวัฒนะ; อภิญญา อิสระชาญพานิช
เพื่อค้นหาจุดเด่นของการดำเนินการมาตรการภายใน ผู้มีบทบาทสำคัญ ปัจจัยความสำเร็จ ผลสำเร็จ และปัญหาอุปสรรคพร้อมข้อเสนอแนะ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสัมภาษณ์กลุ่ม พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสารต่างๆ เรียบเรียงให้เข้าใจง่ายเพื่อให้ผู้ที่สนใจสมารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
2555-07-01T00:00:00Z
การศึกษาแนวทางการพัฒนาภารกิจกระทรวงสาธารณสุขสู่บทบาทผู้กำหนดนโยบายและกำกับทิศทางระบบการคลังสุขภาพของประเทศ
สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์
ถาวร สกุลพาณิชย์
พัชนี ธรรมวันนา
บุณยวีร์ เอื้อศิริวรรณ
http://hdl.handle.net/11228/2891
2022-01-26T03:24:12Z
2552-12-01T00:00:00Z
การศึกษาแนวทางการพัฒนาภารกิจกระทรวงสาธารณสุขสู่บทบาทผู้กำหนดนโยบายและกำกับทิศทางระบบการคลังสุขภาพของประเทศ
สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์; ถาวร สกุลพาณิชย์; พัชนี ธรรมวันนา; บุณยวีร์ เอื้อศิริวรรณ
ระบบบริการสาธารณสุขของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงและได้รับการพัฒนามากขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากประเทศไทยมีการจัดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา ส่งผลทำให้ประชาชนไทยส่วนใหญ่มีความพึงพอใจด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานสาธารณสุขของประเทศ ตามกรอบกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุข ในขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสาเหตุสำคัญ คือ ปัจจัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศไทยที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นทำให้มีอัตราเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นและระบาดวิทยาของโรคที่ปรับเปลี่ยนไปจากโรคติดต่อเป็นโรคไม่ติดต่อและอัตราการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งมีภาวะทุพพลภาพเรื้อรังเพิ่มขึ้น จะทำให้เป็นภาระการคลังระบบสุขภาพของประเทศมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้หลังจากประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและมีสามหน่วยงานหลักดูแลบริหารจัดการการเงินการคลัง คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รับผิดชอบดูแลระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 สำนักงานประกันสังคม รับผิดชอบดูแลระบบประกันสังคม ภายใต้ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และกรมบัญชีกลาง รับผิดชอบดูแลระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ภายใต้ พ.ร.ฎ.เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2523 ซึ่งใช้จ่ายจากงบประมาณภาครัฐเกือบทั้งหมด ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ภาครัฐมีภาระทางการคลังสุขภาพเพิ่มมากขึ้น แต่สามหน่วยงานดังกล่าวต่างก็บริหารจัดการงบประมาณด้านบริการสุขภาพของระบบภายใต้กฎหมายที่แตกต่างกัน มีทิศทางเป้าหมายและจุดมุ่งเน้นของแผนการทำงานที่แตกต่างกัน มีการกำหนดวิธีการจ่ายเงินและอัตราการจ่ายค่าบริการที่แตกต่างกันซึ่งส่งผลทำให้สถานพยาบาลมีแรงจูงใจในการจัดบริการแก่ผู้มีสิทธิประกันสุขภาพทั้งสามระบบแตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังพบว่ามีหน่วยงานของรัฐที่ไม่ได้อยู่ในกำกับของกระทรวงสาธารณสุขและมีบทบาทมากขึ้นทั้งในฐานะผู้บริหารงบประมาณด้านสาธารณสุขหรือผู้ซื้อบริการ อาทิเช่น องค์กรปกครองท้องถิ่น หรือในฐานะผู้ผลิตบุคลากรด้านสาธารณสุขและฐานะผู้ให้บริการ เช่น สถานพยาบาลสังกัดรัฐอื่น เป็นต้น รวมทั้งการขยายตัวของธุรกิจด้านสุขภาพของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่มีรายได้สูงขึ้น รวมถึงการให้บริการทางการแพทย์แก่ชาวต่างชาติ ซึ่งความซับซ้อนบริบทโครงสร้างของระบบสุขภาพดังกล่าวทำให้กระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถใช้กลไกของระบบบริหารจัดการที่มีอยู่ทำหน้าที่ติดตามกำกับและประเมินผลหรือกำหนดทิศทางนโยบายมหภาคด้านสุขภาพของแต่ละระบบย่อยให้สอดคล้องกันได้ เพราะขาดกลไกการพัฒนาทิศทางนโยบายและการวางแผน การติดตามกำกับนโยบายและเป้าหมายการบริหารจัดการงบประมาณของแต่ละระบบให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อาจทำให้ประเทศมีความเสี่ยงด้านการคลังสุขภาพและไม่สามารถยกระดับผลลัพธ์ด้านสุขภาพของประชาชนได้ ในระยะยาววัตถุประสงค์หลักของการศึกษา คือ การทบทวนและวิเคราะห์เปรียบเทียบ บทบาทหน้าที่และโครงสร้างองค์กรผู้กำหนดนโยบายด้านการคลังระบบสาธารณสุขและจัดหลักประกันสุขภาพของประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้วกับประเทศไทยและจัดทำข้อเสนอรูปแบบองค์กรระดับชาติในการพัฒนานโยบาย วางแผนและกำกับทิศทางด้านการคลังระบบสาธารณสุข รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาโครงสร้างองค์กร บทบาทหน้าที่ และบริหารจัดการด้านการคลังระบบสาธารณสุขของประเทศไทย โดยใช้วิธีการศึกษาหลายรูปแบบผสมผสานกัน เช่น การทบทวนเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกเกี่ยวกับกรอบกฎหมายโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์สังเคราะห์เปรียบเทียบโครงสร้างองค์กรและบทบาทหน้าที่องค์กรที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ แคนาดา เยอรมันนี และญี่ปุ่นกับของประเทศไทย พัฒนาข้อเสนอรูปแบบองค์กรระดับชาติในการพัฒนานโยบาย วางแผนและกำกับการคลังระบบสาธารณสุขของประเทศและจัดประชุมเชิงปฏิบัติการของผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ข้อคิดเห็นต่อร่างข้อเสนอการจัดตั้งองค์กรระดับชาติดังกล่าว โดยคาดหวังว่าผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและพัฒนาบทบาทในฐานะผู้กำหนดนโยบาย วางแผนและกำกับทิศทางด้านการคลังระบบสาธารณสุขระดับมหภาคในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบริบทของระบบสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปและกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่าทุกประเทศตัวอย่างที่ศึกษา คือ อังกฤษ แคนาดา เยอรมันนีและญี่ปุ่น มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการอภิบาลระบบการคลังสาธารณสุข ที่มีการออกแบบเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ระดับประเทศลงไปจนถึงระดับท้องถิ่น ด้านการวางนโยบายและกำกับในภาพรวม มีหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดชุดสิทธิประโยชน์และกลไกการจ่ายในระดับประเทศ และมีหน่วยงานที่รับข้อมูลจากทุกหน่วยบริการและจัดทำสารสนเทศ ตลอดจนพัฒนากลไกการจ่ายเงินให้สถานพยาบาลให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ถ้าเป็นระบบที่มีการกระจายอำนาจมาก องค์กรที่ทำหน้าที่ในภาพรวมนี้จะอยู่ในรูปคณะกรรมการ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นคณะกรรมการระดับชาติ จะเป็นกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่ในการจัดทำหรือแก้ไขกฎหมายที่ใช้บังคับกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้ทุกองค์กรปฏิบัติตาม แต่ขณะนี้ประเทศไทยมีช่องว่างของระบบในการอภิบาลด้านการเงินการคลังของระบบสาธารณสุขในระดับมหภาค เนื่องจากยังขาดกลไกสำคัญที่สามารถบูรณาการทิศทางนโยบายการคลังระบบสาธารณสุขของประเทศที่ครอบคลุมทุกกระทรวงและหน่วยงานรัฐอื่นๆ รวมทั้งภาคเอกชนและมีความเสี่ยงในระยะยาวเกี่ยวกับการกำกับดูแลผลกระทบมหภาคจากนโยบายสุขภาพด้านต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลทำให้กลไกการคลังของประเทศในภาพรวมขาดประสิทธิภาพ ทั้งที่มีระบบการคลังรวมหมู่โดยการจัดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแล้ว นอกจากนี้ ยังขาดข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคของระบบสาธารณสุขที่ถูกต้องครบถ้วน ทำให้การประเมินและคาดการณ์เศรษฐกิจมหภาคในระดับประเทศคลาดเคลื่อนไปด้วย โดยเฉพาะข้อมูลค่าใช้จ่ายสุขภาพที่มาจากภาคเอกชนและครัวเรือน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีหน่วยงานกลางระดับชาติทำหน้าที่ “ถือหางเสือเรือ” (governance) การคลังระบบสาธารณสุข โดยต้องมีอำนาจทางกฎหมายที่จะให้กองทุนประกันสุขภาพภาครัฐต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดที่จะครอบคลุมทั้งสามกองทุนหลัก รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระและองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการงบประมาณสวัสดิการรักษาพยาบาลของตนเอง โดยเสนอให้มีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะในกระทรวงสาธารณสุขในระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อทำหน้าที่ด้านการวิเคราะห์ จัดทำแบบจำลองเพื่อเสนอทางเลือกเชิงนโยบายและให้ความเห็นเกี่ยวกับการอภิบาลด้านการคลังระบบสาธารณสุขมหภาคแก่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการเผยแพร่สู่สาธารณะต่อประชาชน
2552-12-01T00:00:00Z
ความคุ้มค่าของการผ่าตัดต้อกระจกโดยใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มเปรียบเทียบกับชนิดแข็งในบริบทของประเทศไทย
กัลยา ตีระวัฒนานนท์
รักมณี บุตรชน
ชนิดา เลิศพิทักษ์พงศ์
ธีระ ศิริสมุด
ปฤษฐพร กิ่งแก้ว
ขวัญใจ วงศ์กิตติรักษ์
อุษา ฉายเกล็ดแก้ว
ยศ ตีระวัฒนานนท์
http://hdl.handle.net/11228/2859
2022-01-04T08:12:11Z
2552-09-01T00:00:00Z
ความคุ้มค่าของการผ่าตัดต้อกระจกโดยใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มเปรียบเทียบกับชนิดแข็งในบริบทของประเทศไทย
กัลยา ตีระวัฒนานนท์; รักมณี บุตรชน; ชนิดา เลิศพิทักษ์พงศ์; ธีระ ศิริสมุด; ปฤษฐพร กิ่งแก้ว; ขวัญใจ วงศ์กิตติรักษ์; อุษา ฉายเกล็ดแก้ว; ยศ ตีระวัฒนานนท์
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเข้าถึงการผ่าตัดต้อกระจกและปัจจัยที่มีผลต่อการผ่าตัดต้อกระจกในผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการและสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ (1) ข้อมูลผู้ป่วยในที่มีสิทธิสวัสดิการข้าราชการและสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นำมาจากสำนักงานกลางสารสนเทศบริการสุขภาพ (สกส.) และ (2) ข้อมูลของผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการการผ่าตัดต้อกระจก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากนั้นการศึกษานี้ยังประเมินความคุ้มค่าของการผ่าตัดต้อกระจกโดยใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มเปรียบเทียบกับชนิดแข็งในประเทศไทยโดยใช้แบบจำลอง decision tree จากมุมมองของผู้ให้บริการ
จากผลการศึกษาด้านการประเมินการเข้าถึงการผ่าตัดต้อกระจก พบว่า ผู้ป่วยต้อกระจกในประเทศไทยมีแนวโน้มได้รับการผ่าตัดเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า นอกจากนี้ผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าส่วนใหญ่ (ร้อยละ 96.9) ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกในจังหวัดที่มีสิทธิการรักษา มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับการผ่าตัดที่จังหวัดอื่น จังหวัดที่มีขนาดใหญ่จะมีอัตราการผ่าตัดมากกว่า และจังหวัดที่มีจำนวนจักษุแพทย์เพิ่มขึ้น 1 คน จะมีอัตราการผ่าตัดต้อกระจกมากขึ้นถึง 52 เท่า นอกจากนี้จากผลการศึกษาด้านปัจจัยที่มีผลต่อการผ่าตัดต้อกระจก ผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการมีโอกาสได้รับการใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มมากกว่าผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าถึง 22 เท่า ผู้ป่วยที่ใส่เลนส์แข็งมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าเลนส์นิ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนั้นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหรือโรงพยาบาลเอกชนมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าโรงพยาบาลทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผลการศึกษาด้านการประเมินความคุ้มค่าของการผ่าตัดต้อกระจกใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มเปรียบเทียบกับชนิดแข็ง พบว่า หากระบบประกันสุขภาพมีค่าความเต็มใจจ่ายสำหรับการลงทุนด้านสุขภาพน้อยกว่า 200,000 บาทต่อปีสุขภาวะ การผ่าตัดใส่เลนส์นิ่มจะไม่มีความคุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับการตัดสินใจในอดีตที่ผ่านมาของคณะอนุกรรมการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์และระบบบริการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่มีแนวโน้มจะไม่ลงทุนสำหรับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้ค่าอัตราส่วนต้นทุนอรรถประโยชน์ที่มีค่ามากกว่า 200,000 บาทต่อปีสุขภาวะ การศึกษานี้จึงให้ผลสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมาของ สปสช. ที่สนับสนุนการผ่าตัดต้อกระจกใส่เลนส์ชนิดแข็ง อย่างไรก็ตามหากค่าความเต็มใจจ่ายต่อปีสุขภาวะของ สปสช. มีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตคือมีค่ามากขึ้นก็ยังพบว่าโอกาสที่การผ่าตัดใส่เลนส์นิ่มจะมีความคุ้มค่ามากกว่าการผ่าตัดใส่เลนส์แข็งมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ทำการสำรวจราคาเลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มและแข็งเพื่อนำมาใช้คำนวณงบประมาณที่สามารถประหยัดได้ตามสถานการณ์ที่สมมติขึ้น หากมีการเบิกจ่ายค่าเลนส์นิ่มและเลนส์แข็งเท่ากับราคาค่าเฉลี่ยที่สำรวจได้ พบว่า ในผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการ รัฐบาลจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ปีละประมาณ 55 ล้านบาท และถ้าให้เบิกจ่ายได้เท่าราคาเลนส์แข็งที่สำรวจได้เหมือนกันหมดทั้งสองสิทธิประกันสุขภาพ จะลดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 140 ล้านบาท ดังนั้นหากหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าเลนส์แก้วตาเทียมสามารถกำหนดราคาเลนส์ที่จะเบิกได้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ประหยัดงบประมาณไปได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งงบประมาณดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในงานสาธารณสุขด้านอื่นที่จำเป็นได้มากขึ้นด้วย
จากผลการศึกษาทั้งหมด สามารถสรุปข้อเสนอแนะเชิงนโยบายได้ดังนี้ (1) รัฐบาลควรมีการกระจายทุนฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุให้แก่จังหวัดที่ยังขาดแคลน (2) จากผลการวิจัยชี้ว่าเลนส์แข็งมีความคุ้มค่ากว่า ดังนั้นการเบิกจ่ายค่าเลนส์แก้วตาเทียมของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งมีการเบิกจ่ายค่าเลนส์ในราคาของเลนส์แข็งจึงมีความเหมาะสมแล้ว (3) ควรให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับเลนส์แข็งและเลนส์นิ่ม เนื่องจากอาจจะมีการจูงใจจากผู้ให้บริการให้จ่ายเงินเพิ่ม (4) จากการสำรวจครั้งนี้พบว่า ราคาเลนส์ถูกกว่าราคาที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกรมบัญชีกลางให้เบิกไว้ค่อนข้างมาก ในกรณีเลนส์แข็งราคาลดลงได้ถึง 4 เท่าตัว กรณีเลนส์นิ่มราคาลดลงได้เกือบครึ่งหนึ่ง จึงควรมีการทบทวนราคาเลนส์ที่เบิกจ่ายในอนาคต
2552-09-01T00:00:00Z
การศึกษามาตรการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผลในโรงพยาบาลในประเทศไทย
จิราพรรณ เรืองรอง
ยศ ตีระวัฒนานนท์
อุษา ฉายเกล็ดแก้ว
ศรีเพ็ญ ตันติเวสส
http://hdl.handle.net/11228/2858
2021-08-16T04:01:43Z
2552-09-01T00:00:00Z
การศึกษามาตรการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผลในโรงพยาบาลในประเทศไทย
จิราพรรณ เรืองรอง; ยศ ตีระวัฒนานนท์; อุษา ฉายเกล็ดแก้ว; ศรีเพ็ญ ตันติเวสส
การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างไม่สมเหตุสมผล นอกจากจะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาได้อีกด้วยในหลายประเทศ รวมทั้งในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ มาตรการส่งเสริมการสั่งใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผลหลายๆ มาตรการสามารถเพิ่มการใช้ยาต้านจุลชีพออย่างสมเหตุสมผลได้ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือเพื่อคัดเลือกมาตรการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผลที่มีประสิทธิผลและเหมาะสมกับระบบสุขภาพของประเทศไทยมากที่สุด เทคนิคการประชุมกลุ่มถูกนำมาใช้เพื่อคัดเลือกมาตรการดังกล่าว ผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่มประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้มาตรการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผล ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการใช้มาตรการ หากมาตรการนั้นถูกนำมาใช้
การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผลทั้งในและต่างประเทศทั้งหมด พบว่ามาตรการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผลมีอยู่หลากหลายมาตรการ เนื่องจากความแตกต่างด้านสถานที่ทำการศึกษา ตลอดจนระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ ทำให้ประสิทธิผลของแต่ละการศึกษาให้ผลที่ไม่สอดคล้องกัน และไม่สามารถเปรียบเทียบประสิทธิผลของแต่ละมาตรการโดยตรงได้ การใช้มาตรการหลายๆ มาตรการร่วมกันมีประสิทธิผลมากกว่าการใช้เพียงมาตรการเดียว นอกจากนี้ มาตรการที่มีประสิทธิผล ได้แก่ มาตรการให้การศึกษา มาตรการสั่งใช้ยาผ่านแบบฟอร์มยาต้านจุลชีพ มาตรการสั่งใช้ยาโดยผ่านความเห็นชอบของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ มาตรการมีเภสัชกรคลินิกทำงานร่วมกับแพทย์ มาตรการเหล่านี้ถูกนำเสนอให้แก่ที่ประชุมเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการคัดเลือก จากนั้นผู้เข้าร่วมประชุมร่วมกันอภิปรายและดำเนินการคัดเลือกมาตรการ
ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่ามาตรการดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมสำหรับระบบสุขภาพของประเทศไทย เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น การมีจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและเภสัชกรคลินิกไม่เพียงพอ บทบาทของเภสัชกรคลินิกยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับในประเทศที่พัฒนาแล้ว และแพทย์ยังคงมีอำนาจสูงสุดในการสั่งใช้ยา อย่างไรก็ตาม มาตรการที่เรียกว่ามาตรการประเมินการใช้ยา ซึ่งเป็นกระบวนการที่เฝ้าระวังและสนับสนุนการใช้ยาให้มีความสมเหตุสมผล อาจจะสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการแก้ไขปัญหาการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุสมผลได้ นอกจากนี้เภสัชกรผู้มีประสบการณ์การประเมินการใช้ยาต้านจุลชีพเสนอแนะว่านโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการประเมินการใช้ยาจากส่วนกลางมีความจำเป็นอย่างมากและควรจะถูกบังคับใช้ นโยบายที่ชัดเจนดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผลในระบบสุขภาพของประเทศไทยในอนาคต
2552-09-01T00:00:00Z