บทคัดย่อ
ระเบียบพัสดุฯ และปัจจัยการตัดสินใจซื้อยาในโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลระดับ จังหวัด ปี 2539 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 กำหนดให้สถานพยาบาลภาครัฐซื้อยาหรือเวชภัณฑ์ที่องค์การเภสัชกรรมผลิต (โรงงาน เภสัชกรรมทหาร สำหรับส่วนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม) ผลิตหรือมีจำหน่าย ถ้าราคาที่จำหน่ายนั้นสูงกว่าราคากลางไม่เกินร้อยละ 3 ต่อมาสภาอุตสาหกรรมและสมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบันเสนอผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน ให้มีการแก้ไขระเบียบพัสดุดังกล่าวข้อ 61 และ 62 เป็น "ให้สถานพยาบาลภาครัฐสามารถซื้อยาจากองค์การเภสัชกรรมหรือผู้ประกอบการภาค เอกชนที่ได้ GMP ได้" การวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ถ้ามีการแก้ไขระเบียบดังกล่าวตามที่ได้มีผู้เสนอ โดยการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การจัดซื้อยาใน รพ.รัฐโดยใช้ รพ.สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นตัวอย่างในการศึกษา การศึกษาใช้วิธีสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นสัดส่วนตามจำนวน รพ. แต่ละระดับ การศึกษาใช้แบบสอบถามที่ไม่ระบุชื่อส่งไปยังรพ. เป้าหมายโดยถามข้อมูลการจัดซื้อยาในปี 2539 อัตราการตอบกลับโดยเฉลี่ยทุกกลุ่มโรงพยาบาลคือ ร้อยละ 67 ผลการศึกษาที่สำคัญพบว่ามูลค่าการซื้อยารวมรพ.ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขในปี 2539 มีมูลค่าประมาณ 5,710 ล้านบาท โดยที่รพ.ขนาดเล็กอาศัยเงินงบประมาณในการจัดซื้อยาเป็นสัดส่วนที่สูงคือ ร้อยละ 87 ในรพช.10 เตียง และลดลงเรื่อยๆ จนเป็นร้อยละ 37 ในรพศ. สัดส่วนของยาที่จัดซื้ออยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เป็นร้อยละ 80 ในรพช. 10 เตียง สัดส่วนนี้ค่อยๆ ลดลงจนเป็นร้อยละ 43 ในรพศ. ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อยาของรพช. และรพศ./รพท. มีลักษณะใกล้เคียงกัน คือพบว่า 3ปัจจัยแรกที่ได้รับคะแนนความสำคัญสูงสุดในการซื้อยาที่องค์การเภสัช กรรมผลิต คือ ปัจจัยเรื่องระเบียบพัสดุ, คุณภาพยา และราคา ในขณะที่ 3 ปัจจัยที่สำคัญสูงสุดสำหรับการซื้อยาที่เอกชนผลิตและนำเข้าคือ คุณภาพยา บริการและราคายา ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพยา รพ.ให้ความเห็นว่าข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพยาที่สำคัญ คือ ข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ, ใบรับรองมาตรฐานการผลิต (Good Manufacturing Practice - GMP), ข้อมูลความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตและจำหน่าย, ข้อมูลการรักษาทางคลินิคโดยที่รพ.จะขอข้อมูลแตกต่างกันบ้างจากผู้ผลิต 3 แหล่ง (องค์การเภสัชกรรม, ผู้ผลิตภายในประเทศ และบริษัทนำเข้ายา) โรงพยาบาลขอข้อมูลคุณภาพยาจากองค์การเภสัชกรรมน้อยที่สุด และขอข้อมูลจากผู้ผลิตยาภายในประเทศมากที่สุดรพ.มีความเห็นว่าข้อมูลคุณภาพที่ได้รับจากบริษัทนำเข้ามามีปริมาณข้อมูลมากที่สุด และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในผู้ผลิตยา 3 แหล่ง ในขณะที่ข้อมูลคุณภาพจากผู้ผลิตยาภายในประเทศแม้จะมีปริมาณเป็นอันดับสอง แต่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดรพ.ส่วนใหญ่ส่งตัวอย่างยาของผู้ผลิตยาภายในประเทศตรวจวิเคราะห์คุณภาพที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในขณะที่ส่งตัวอย่างยาที่องค์การเภสัชกรรมผลิตและยานำเข้าน้อยกว่า แต่พบว่ารายการที่ส่งตรวจวิเคราะห์นั้นน้อยกว่าร้อยละ 5 ของรายการยาที่สั่งซื้อในปี 2539เหตุผลในการไม่ส่งยาตรวจวิเคราะห์คุณภาพกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สำคัญ คือ ข้อจำกัดของกรมวิทย์ฯในการให้บริการตรวจวิเคราะห์, ความเชื่อมั่นในยาที่ทำการจัดซื้อและความเชื่อมั่นในการรับรองมาตรฐานการผลิต (GMP), ลักษณะบางอย่างของยาที่ทำให้ไม่ส่งตรวจวิเคราะห์ เช่น ยาที่ใช้บ่อย ยาที่ไม่เคยมีปัญหาในการใช้ และเหตุผลว่าส่งตรวจไปก็ไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจซื้อยา จึงไม่ส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพยาเหตุผลของการส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพยากับกรมวิทย์ฯ ที่สำคัญ คือ สงสัยในผลการใช้ยา, ยามีลักษณะบางอย่าง เช่น ลักษณะภายนอกไม่เรียบร้อย ยาที่ไม่คุ้นเคยและเป็นการส่งตามระเบียบ นโยบายการสุ่มตรวจคุณภาพยาของจังหวัด สำหรับความเชื่อมั่นในคุณภาพยา 3 กลุ่ม ได้แก่ ยาที่องค์การเภสัชกรรมผลิต, ยาที่ผู้ผลิต ยาภายในประเทศ และยานำเข้า พบว่า รพ.ส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมั่นในคุณภาพยานำเข้าสูงสุด รองลงมา คือ ยาขององค์การเภสัชกรรม และยาผู้ผลิตภายในประเทศความเห็นต่อการผ่อนคลายระเบียบพัสดุข้อ 61 และ 62 พบว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 เห็นด้วยกับการแก้ไขระเบียบ โดยมีเหตุผลที่สำคัญคือองค์การเภสัชกรรมมีปัญหาในการบริหารงานและราคายา ค่อนข้างสูงกว่าเอกชน การค้าเสรีจะทำให้ได้ยาดี ในราคาถูก และจะทำให้การบริหารจัดการทางด้านด้านการเงินและเวชภัณฑ์ของรพ.ทำได้ดีขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยให้ความเห็นสำคัญว่า การควบคุมกำกับให้ยาของภาคเอกชนมีมาตรฐานที่ดีทำได้ยาก และการผ่อนคลายระเบียบไม่ได้หมายความว่าจะได้ยาดี ราคาถูกลง นอกจากนี้รพ.มีข้อเสนอว่าควรมีมาตรการควบคุมให้ยามีคุณภาพดีและองค์การเภสัชกรรมควรมีการปรับปรุงการบริหาร ควรมีการปรับราคากลางให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น