บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยพฤติกรรมจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนนใน 8 จังหวัด ของประเทศไทย ปี พ.ศ.2535-2536การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาระดับความรู้ ความเข้าใจต่อกฏจราจรที่สำคัญต่อการใช้รถใช้ถนนของผู้ขับขี่รถประเภทต่าง ๆ และผู้เดินถนน เพื่อศึกษาพฤติกรรมการขับขี่ และการใช้ถนนของประชาชนในจังหวัดขนาดใหญ่ในภาคต่าง ๆ เพื่อพื้นฐานเสนอแนะในการวางแผนดำเนินการด้านเสริมสร้างพฤติกรรมป้องกันตนเองในการใช้รถใช้ถนน ผลการวิจัยพบว่า การสำรวจความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของผู้ขับขี่ และคนเดินถนนใน 8 จังหวัดทั่วประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2535 ได้ผลที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 1) รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ใช้มากในกลุ่มวัยรุ่น และวัยฉกรรจ์ โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา แม่บ้าน ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่เริ่มขับขี่ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 18 ปี ซึ่งเป็นอายุที่กฏหมายกำหนดให้เริ่มมีใบอนุญาตขับขี่ได้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ขับขี่โดยยังไม่มีใบอนุญาตผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รายงานอุบัติการและความถี่ของการประสบอุบัติเหตุ สูงกว่าผู้ขับขี่รถประเภทอื่น ๆ ผู้ขับขี่รถจักรยนต์มีความรู้เรื่องกฏจราจรน้อยมาก โดยเฉพาะในเรื่องการจำกัดความเร็ว การให้ทางกับรถเมื่อถึงสี่แยก และเครื่องหมายจราจรที่สำคัญ ๆ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์จำนวนมากเห็นว่า แม้จะขับรถเร็วแต่ถ้าระมัดระวังก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้มีกฏหมายบังคับใช้หมวกนิรภัยและเห็นประโยชน์ในการป้องกันอันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุ7) ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยังมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่สำคัญ ๆ คือ การดื่มสุราขณะขับขี่การไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ฝ่าสัญญาณไฟแดงและพบว่ามากกว่าครึ่งที่ไม่สวมหมวกนิรภัยรถยนต์ส่วนบุคคลใช้มากในกลุ่มวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ แม้ในกลุ่มผู้สูงอายุก็ใช้รถยนต์กันมาก และเป็นพาหนะสำหรับผู้ประกอบอาชีพราชการ ค้าขาย และมีระดับเศรษฐกิจฐานะดีกว่าผู้ขับขี่รถประเภทอื่น ๆ ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนใหญ่เริ่มขับขี่รถเมื่ออายุเกิน 18 ปี มีความรู้เรื่องกฏจราจร เครื่องหมายจราจร และทัศนคติในการขับขี่ที่ดีกว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลมีอัตราการดื่มสุรา เสพยาม้า ระหว่างขับขี่รถมากกว่ากลุ่มจักรยานยนต์ และเกินครึ่งที่ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด ผู้ขับรถบรรทุก และรถโดยสารส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน (25-44 ปี) และอยู่ในฐานะลูกจ้างของเจ้าของรถ โดยส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์แล้ว พบว่า มีระดับการศึกษาต่ำกว่านอกจากนี้ยังมีจำนวนมากที่เริ่มขับรถตั้งแต่อายุไม่ถึง 18 ปี และกว่าร้อยละ 90 เริ่มขับรถตั้งแต่อายุต่ำกว่า 25 ปี รถบรรทุกมีการประกันอุบัติเหตุมากที่สุด รองลงมาคือ รถโดยสาร ผู้ขับขี่รถบรรทุกและรถโดยสารส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องกฏและเครื่องหมายจราจร ดี ยกเว้นป้ายสัญญาณจราจรบางชนิด คือ ป้ายห้ามหยุดที่ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ปัญหาใหญ่ในผู้ขับขี่รถบรรทุกและรถโดยสาร คือเรื่องทัศนคติ และพฤติกรรมที่เสี่ยงโดยเฉพาะในเรื่องการเสพยาม้าซึ่งผู้ขับขี่จำนวนมากเห็นว่าการกินยาม้าจะช่วยลดอุบัติเหตุได้ และยังพบว่าผู้ขับขี่รถบรรทุกถึงร้อยละ 70 ใช้ยาม้าในระหว่างขับรถ ส่วนรถโดยสารใช้ร้อยละ 33.8 เกือบทั้งหมดจะไม่มีและไม่ใช้เข็มขัดนิรภัยในระหว่างขับรถ ผู้ขับขี่รถบรรทุกและรถโดยสารมักขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฏหมายกำหนดและ เกือบครึ่งหนึ่งที่มักจะแซงทางโค้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากยาม้าและเหล้าแล้วในกลุ่มนี้ยังมีการใช้เครื่องดื่มชูกำลังขณะขับรถมากกว่ารถอีก 2 ประเภท 14) คนเดินถนนไม่รู้เรื่องกฏจราจร ที่สำคัญคือ วิธีการเดิน และข้ามถนนอย่างถูกต้อง 15)ในเรื่องทัศนคติ เกี่ยวกับสาเหตุ การป้องกันอุบัติเหตุ และการปฏิบัติหรือฝ่าฝืนกฏจราจร พบว่า ทั้งผู้ขับขี่และผู้เดินถนนมีทัศนะคล้ายคลึงกัน ผู้ขับขี่รถส่วนใหญ่ได้ความรู้เรื่องกฏจราจรจากประสบการณ์การขับรถมากกว่า การสอบใบขี่และแหล่งความรู้อื่น ๆ 17) สื่อมวลชน โดยเฉพาะโทรทัศน์ วิทยุ ถือเป็นแหล่งความรู้ด้านกฏจราจรที่สำคัญที่สุดใน กลุ่มผู้เดินถนนผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นว่าคนทั่วไปปฏิบัติตามกฏจราจร เพราะกลัวถูกตำรวจจับกุมมากกว่าความกลัวอุบัติเหตุ หรือมีความรับผิดชอบในการใช้รถใช้ถนน จากการสังเกตพฤติกรรมจราจรในบริเวณสี่แยกที่มีและไม่มีสัญญาณไฟจราจรพบว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์มีพฤติกรรมจราจรที่ไม่ถูกต้องเป็นส่วนมากโดยเฉพาะเรื่องการให้สัญญาณก่อนเลี้ยว ไม่สวมหมวกนิรภัย และฝ่าฝืนป้ายหยุดบริเวณสี่แยก การบันทึกพฤติกรรมของรถส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถเมล์ พบการฝ่าฝืนกฎจราจรในส่วนที่เป็นจุดอันตราย ได้แก่ ทางโค้ง สะพาน และทางลาดชัน โดยมีการขับรถแซงบริเวณเส้นทึบสูงโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่รถโดยสาร