บทคัดย่อ
การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขมิอาจมุ่งเฉพาะการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองท้องถิ่นแต่เพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องมีกระบวนการ ระบบ วิธีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการเพิ่มอำนาจให้ผู้ป่วย ประชาชน ชุมชน ประชาสังคมด้วย และคำนึงถึงประวัติศาสตร์และบริบทต่างๆ อย่างรอบด้าน ตรงนี้เองคือการปฏิรูประบบสุขภาพที่จำเป็นต้องยึดหลักบูรณาการ (integration) และการมองแบบองค์รวม (holistic view) เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น กระบวนการ ระบบ วิธีการ นวัตกรรมที่เป็นผลผลิตจากการปฏิรูปก็จะกลายเป็นอัปลักษณะอย่างใหม่ของสังคมไทย เป็นการแก้ปัญหาที่ก่อปัญหาอย่างใหม่ขึ้นมา กลายเป็นเรื่องที่ต้องการการปฏิรูปหลังการปฏิรูปไปเรื่อยๆ หรืออาจจะเผชิญกับแรงเหวี่ยงกลับของสังคมแม้ความเป็นไปเหล่านี้จะเป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงตามหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ทางพุทธศาสตร์ แต่กระบวนการภูมิปัญญาของสังคมควรมีบทบาทบรรเทาการเปลี่ยนแปลงด้านร้ายที่จะเกิดขึ้นไว้ก่อน สำหรับประเทศไทยเมื่อคำนึงถึงบริบทเชิงประวัติศาสตร์ของพัฒนาการระบบสุขภาพและพลวัตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งความสอดคล้องกับเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 ขอเสนอ ดังนี้ 1. การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในช่วงสี่ปีแรก (2544-2547) ซึ่งพรบ.ฯ กำหนดให้เป็นช่วงปรับปรุงระบบบริหารง่ายภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและราชการสวนภูมิภาคและความพรอมในการถ่ายโอนรวมกับช่วงถ่ายโอนอย่างสมบูรณในหกปหลัง (2548-2553) ควรถือเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Period) ที่ทั้งฝ่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ราชการสวนกลาง-ภูมิภาคและภาคประชาชนไดเรียนรูและความร่วมมือกันในกระบวนการกระจายอำนาจ 2. โครงสร้างและรูปแบบเชิงสถาบัน/การจัดองค์การในระยะเปลี่ยนผ่านสี่ปีแรก เสนอมีภาคีหลัก 3 ฝ่าย ได้แก่ ราชการส่วนกลาง-ส่วนภูมิภาค (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลและสถานีอนามัย) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) และภาคประชาชน/ประชาสังคม การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองท้องถิ่นในระยะผ่าน ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจการให้บริการสุขภาพขั้นต้น (primary care) ซึ่งเป็นภารกิจที่ซ้ำซ้อนให้แก่เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในการนี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลจังหวัดและเครือข่ายหน่วยงานในสังกัดปรับบทบาทมาเป็นการสนับสนุนหรือดำเนินการได้ในลักษณะโครงการบริการสุขภาพปฐมภูมิเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยไม่เน้นการครอบคลุมประชากร 3. ควรให้มีคณะกรรมการโรงพยาบาลที่คล้ายคณะกรรมการสถานศึกษาตามพรบ.การศึกษาแห่งชาติมาเสริม ที่สำคัญยิ่งก็คือระบบตรวจสอบความรับผิดชอบและการเพิ่มอำนาจของภาคประชาชนที่มีผลมากที่สุดจากประสบการณ์สากลจะเกิดขึ้นได้ก็โดยยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวภาคประชาชนในรูปการจัดตั้งเป็นเครือข่าย กลุ่ม หรือองค์กรคู่ขนาน (paralle organization) กับองค์กรภาครัฐ 4.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แม้จะคลายข้อจำกัดทางอำนาจการคลังและบุคลากรซึ่งมีผลเพิ่มศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพรบ.ฯ แต่คงมีสภาพไม่ลงตัวเรื่องบทบาทหน้าที่รูปธรรมระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดกับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล นับเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องได้รับการปฏิรูปต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องการจำแนกบทบาทอย่างชัดเจนระหว่างอบจ. – เทศบาลและอบต. 5. ควรจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับองค์กรปกครองท้องถิ่นใหม่ โดยให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีอิสระมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการพัฒนาและการบริหารงานบุคคล 6. ควรเร่งดำเนินการเรื่องระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจากมีหลักการรายละเอียดหลายประการที่เกี่ยวข้องกับสถานบริการสุขภาพภาครัฐ