บทคัดย่อ
การศึกษานี้เพื่อตรวจสมรรถนะของแบบการคัดกรองภาวะเลือดมีไขมันมากเกิน 4 แบบ แบบที่ 1 ตามแนวทางของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย แบบที่ 2 ตามแนวทางของ National Cholesterol Education Program (NCEP),แบบที่ 3 ตามแนวทางของ British Hyperlipidemia Association (BHA), และแบบที่ 4 ที่ผู้วิจัย (อัญชลี) พัฒนาขึ้นมาโดยการใช้การตรวจไขมันในเลือดทางห้องปฏิบัติการเป็นมาตรฐานทอง (gold standard) การศึกษาเป็นแบบพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างคือ ประชากรวัยแรงงาน 2,000 คน อายุ 35 ปีขึ้นไป ที่มารับการตรวจร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน พ.ศ. 2551 ชนิดไขมันที่ตรวจทางห้องปฏิบัติการคือ โฆเลสเทอรอล ไตรกลีย์เศอไรด์ และ เอชดีแอล ส่วนแอลดีแอลนั้นใช้วิธีคำนวณตามสูตรของฟรีดวอล ผลการศึกษาโดยรวมพบว่า แบบคัดกรองทั้ง 4 แบบมีความไว และความจำเพราะร้อยละ 30-99 และ 0.5-74 ตามลำดับ มีพื้นที่ใต้ส่วนโค้ง (AUC) อยู่ระหว่าง 0.506-0.671 แบบคัดกรองที่ 4 มีความไวสูงสุด และความจำเพาะต่ำสุด คือ ร้อยละ 99.4 และ 34.3 ตามลำดับ แบบคัดกรองที่ 3 มีพื้นที่ใต้ส่วนโค้งดีที่สุด คือ 0.671 รองลงมาคือ แบบคัดกรองที่ 1 (AUC=0.621) แบบคัดกรองที่ 1 มีความจำเพาะสูงสุด แต่มีความไวต่ำสุด คือ ร้อยละ 74 และ 45.2 ตามลำดับ ไม่มีแบบคัดกรองใดเลยที่มีค่าความไวและค่าความจำเพาะสูงทั้งสองอย่าง โดยสรุปแบบคัดกรองภาวะเลือดมีไขมันเกินในผู้ใหญ่ไทยทั้ง 4 แบบยังมีสมรรถนะปานกลางและควรมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น
บทคัดย่อ
This cross-sectional descriptive study was aimed at determining the efficiency and cost-effectiveness of four serum lipid screening methods: Method 1 proposed by the Thai Royal Medical Association (TRMA), Method 2 of the National Cholesterol Education Program (NCEP), Method 3 of the British Hyperlipidemia Association (BHA), and Method 4 invented by the first author. Study subjects included 2,000 workers aged 35 years and older who underwent an annual health examination provided at King Chulalongkorn Memorial Hospital during the period July-September 2008. All subjects answered the questionnaires of four screening methods and took blood tests for TC, TG, and HDL. LDL was calculated by Friedewald’s formula. The performance of each screening method was then analyzed, using lipid blood test as the gold standard. Overall sensitivity and specificity of the screening methods were 30 to 99 and 0.5 to 74 percent respectively, with the AUC of 0.506 to 0.671. Method 4 had the highest sensitivity and the lowest specificity at 99.4 percent and 34.3 per cent, respectively. Method 3 and Method 1 had higher AUC of 0.671 and 0.621 respectively. Method 2 had high specificity and low sensitivity (74% and 45.2%). In conclusion, the performance of the four serum lipid screening methods used in Thai adults was modest and therefore the methods need further improvement.