บทคัดย่อ
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุสำคัญของการตายในหลายประเทศจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการตายของประชากรทั่วโลกปีละประมาณ 17 ล้านคนและคาดว่าในปี พ.ศ. 2563 ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดราว 25 ล้านคน โดยอยู่ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาประมาณ 19 ล้านคนหรือร้อยละ 76 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด สำหรับในประเทศไทยโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของสาเหตุการตายมานานกว่ายี่สิบปีและจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปีพ.ศ. 2546 มีผู้ป่วยจำนวน 991,413 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2545 กว่า 136,000 รายหรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 16 และมีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าว 40,092 ราย
ภาวะระดับไขมันในเลือดผิดปกติเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยจากการศึกษาพบว่าประมาณหนึ่งสามของโรคหลอดเลือดสมองตีบเป็นผลมาจากระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่า 3.8 mmol/l หรือ 147 mg/dl และประมาณสองในสามของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นผลมาจากระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่า 3.8 mmol/l และหากทำการรักษาภาวะระดับไขมันในเลือดผิดปกติจนสามารถลดระดับคลอเลสเตอรอลได้ 0.6 mmol/l หรือ 23.2 mg/dl จากระดับคลอเลสเตอรอลเดิมของผู้ป่วยจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบร้อยละ 27 และหากลดระดับคลอเลสเตอรอลลงได้ 1 mmol/l หรือ 38.67 mg/dl จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองลงได้ร้อยละ 13 ปัญหาสำคัญที่พบในผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงในประเทศไทย คือ ผู้ป่วยไม่เคยได้รับการวินิจฉัยและไม่ได้รับการรักษา และยังพบว่าผู้ป่วยที่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยและไม่ได้รับการรักษามีสัดส่วนที่สูงในกลุ่มผู้ป่วยที่อายุมากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่ใช้เป็นหลักฐานในการที่จะนำมาใช้เพื่อกำหนดแนวทางในการเลือกใช้ยาในกลุ่ม statins สำหรับการป้องกันปฐมภูมิและการป้องกันทุติยภูมิ ว่าควรเริ่มให้การรักษาด้วยยาชนิดใด นอกจากนี้งานวิจัยในต่างประเทศในเรื่องการเปรียบเทียบต้นทุนประสิทธิผลของยาในกลุ่ม statins ส่วนใหญ่ที่มียังไม่ดีพอ เนื่องจากระยะเวลาการศึกษาค่อนข้างสั้น (ประมาณ 1 ปี) นอกจากนี้ยังมีการใช้ intermediate outcomes เช่น ร้อยละของการลดระดับ LDL ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องหรือไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตหรืออัตราตายของผู้ป่วยซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สนใจสำหรับผู้บริหาร และข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่สามารถนำมาใช้สำหรับประเทศไทยได้เนื่องจากมีความแตกต่างทั้งในเรื่องของราคาขายในแต่ละประเทศ รวมทั้งความแตกต่างของระบบเศรษฐกิจ และแนวทางการรักษา
ด้วยแนวคิดและเหตุผลดังกล่าวทีมผู้วิจัยจึงมีความต้องการที่จะประเมินความคุ้มค่าของการใช้ยาลดไขมันในเลือดสำหรับประเทศไทยเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการกำหนดแนวทางในการใช้ยาในกลุ่ม statinsสำหรับการป้องกันปฐมภูมิและการป้องกันทุติยภูมิ และเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการที่จะปรับปรุงบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีคลอบคลุมในผู้ที่ควรได้รับการรักษา มีการใช้ยาที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าในการรักษา