บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษากระบวนการนำนโยบายเพิ่มการเข้าถึงยาราคาแพงในบัญชียา จ (2) ของบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.2551 ไปสู่การปฏิบัติโดยโครงการประกันสุขภาพภาครัฐ ได้แก่ โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โครงการสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและโครงการประกันสังคม และโรงพยาบาลต่างๆ นอกจากนี้ ยังศึกษาปัจจัยที่ช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบาย และปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น ระเบียบวิธีศึกษา: การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลด้วยการทบทวนเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายบัญชียา จ (2) ผลการศึกษา: 1) การดำเนินการโดยโครงการประกันสุขภาพภาครัฐ คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้กำหนดแนวทางกำกับการใช้ยาในบัญชียา จ (2) รวมถึงระเบียบหลักเกณฑ์อื่นๆ เพื่อให้โครงการประกันสุขภาพภาครัฐทั้งสามโครงการและโรงพยาบาลนำไปปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นโครงการเดียวที่พัฒนาระเบียบหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบัญชียา จ (2) ขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าโครงการประกันสุขภาพทั้งสามโครงการได้ดำเนินโครงการเพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาในบัญชียา จ (2) บางรายการมาก่อนที่จะมีนโยบายบัญชียา จ (2) เกิดขึ้น โดยมีการบริหารจัดการการสั่งใช้ยาเหล่านี้ที่แตกต่างจากระเบียบหลักเกณฑ์ที่กำหนดภายใต้บัญชียา จ (2) ในบางประการ 2) การดำเนินนโยบายบัญชียา จ (2) ในระดับโรงพยาบาล ผู้บริหาร แพทย์ผู้สั่งใช้ยา และเภสัชกรส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมในการศึกษานี้เห็นด้วยกับนโยบายเพิ่มการเข้าถึงยาราคาแพงในบัญชียา จ (2) เนื่องจากมีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยาของโรงพยาบาลในส่วนของผู้ป่วยภายใต้โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมทั้งช่วยให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผลมากขึ้นจากการมีแนวทางกำกับการใช้ยาที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามกฎระเบียบต่างๆที่คณะอนุกรรมการฯ และโครงการประกันสุขภาพภาครัฐกำหนดขึ้นกลับทำให้เกิดปัญหาต่อผู้ปฏิบัติ เนื่องจากทำให้เกิดความสับสน และมีความหลากหลายในการบริหารจัดการในแต่ละโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังพบปัญหาจากการปฏิบัติตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากำหนดในบางขั้นตอน และการสั่งใช้ยาในผู้ป่วยภายใต้โครงการสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ล้วนเป็นอุปสรรคที่สำคัญของผู้ปฏิบัติในการดำเนินการให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาในบัญชียา จ (2) สรุปและข้อเสนอแนะ: การนำนโยบายเพิ่มการเข้าถึงยาราคาแพงในบัญชียา จ (2) ไปสู่การปฏิบัติยังคงประสบปัญหาอุปสรรคอยู่มาก การประสานงานระหว่างคณะอนุกรรมการฯ กับโครงการประกันสุขภาพ และโรงพยาบาล รวมทั้งการกำกับติดตามประเมินผลนโยบายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้การดำเนินนโยบายนี้ประสบความสำเร็จ
บทคัดย่อ
Objectives: to study the process of implementation of the increasing access to high-cost medicine
listed in the Category E2 of the 2008 NLEM policy to practice under public health insurance systems: the
Universal Health Coverage scheme (UC), Civil Servant Medical Benefit Scheme (CSMBS), and Social Security
Scheme (SSS) and in hospitals as well as to explore factors that promote policy achievement and
problems occurred during policy implementation. Methods: A qualitative approach was employed including
review and analysis of relevant documents. In-depth interviews and focus group discussions
with stakeholders, who involved in the Category E2, were conducted. Results: 1) The policy implementation
under public health insurance schemes: The NLEM subcommittee created the Category E2 guidelines
including other rules and regulations for the three public health insurance schemes to follow. However,
the UC was the only scheme which developed its internal regulations related to the Category E2.
Moreover, it was also found that the three public health insurance schemes had implemented some projects
to increase access to some medicine listed in the Category E2 before the policy initiation. Also, these
projects were, in some respects, managed differently from the rules and regulations of the Category E2
policy. 2) The implementation of the Category E2 policy in hospitals: Most administrators, clinicians and
pharmacists who involved in this study agreed with the policy of increasing access to expensive medicines.
The implementation of this policy would reduce hospital expenditure on medicines particularly
medicines for patients who were covered under the UC and promote a rational use of the medicine under
the clear guidelines. However, the rules and regulations regarding the Category E2 that developed by the
NLEM subcommittee and the three public health insurance schemes could cause problems in practice
because it may introduce confusion and various management systems in hospitals. There were also some
problems of compliance with the rules and regulations of the UC and prescription for people under the
CSMBS coverage. These problems were obstacles for patients’access to medicines listed in the Category
E2. Conclusions and suggestions: Policy implementation of increasing access to the Category E2 to practice
faced many barriers. Coordination among the NLEM subcommittee, public health insurance schemes,
and hospitals as well as policy monitoring and evaluation were necessary and facilitated the success of
policy implementation.