บทคัดย่อ
มะเร็งปากมดลูกก่อให้เกิดความสูญเสียในสตรีไทย ภารกิจที่ท้าทายผู้บริหาร คือ การจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันและควบคุมโรค การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความคุ้มค่าของมาตรการปัจจุบัน คือ การคัดกรองสตรีอายุ ๓๐ - ๖๐ ปี ทุก ๕ ปี เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น ได้แก่ การขยายเป้าหมายให้ครอบคลุมสตรีอายุน้อยกว่า ๓๐ ปี และเพิ่มความถี่เป็นทุก ๓ และ ๑ ปี การศึกษาปรับปรุงแบบจำลอง Markov ที่พัฒนาในปี ๒๕๕๐ ต้นทุนใช้มุมมองทางสังคม โดยปรับค่าเป็นปี ๒๕๕๕ ผ่านดัชนีราคาผู้บริโภคจากสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และปรับค่าอรรถประโยชน์ของมะเร็งปากมดลูกผ่านสมการของประชากรไทย การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการไม่คัดกรอง มาตรการปัจจุบัน เมื่อดำเนินการภายใต้อัตราคัดกรองร้อยละ ๘๐ มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดอุบัติการณ์และอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ ๔๐ ทางเลือกที่ดีที่สุดและควรพิจารณา หากต้องการขยายการคัดกรอง คือ เพิ่มความถี่การคัดกรองจากทุก ๕ ปีเป็นทุก ๓ ปี โดยคงกลุ่มอายุเดิมจะช่วยลดอุบัติการณ์อีกปีละ ๙๐๐ ราย และป้องกันการเสียชีวิตปีละ ๔๕๐ ราย ลดต้นทุนการรักษามะเร็งปากมดลูกได้ปีละ ๑,๒๐๐ ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนต้นทุนประสิทธิผลส่วนเพิ่ม -๗๓,๓๐๐ บาทต่อปีสุขภาวะ แต่จำเป็นต้องพัฒนานักเซลล์วิทยาเพิ่มอีกอย่างน้อย ๑๘๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๒ ของกำลังคนในปัจจุบัน การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในปัจจุบันที่ให้สตรีอายุ ๓๐ - ๖๐ ปี รับบริการคัดกรองสม่ำเสมอทุก ๕ ปี เป็นมาตรการที่คุ้มค่า เหมาะสม และปฏิบัติได้ แต่ควรควบคุมประสิทธิภาพและคุณภาพของการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายอัตราคัดกรองในประชากรที่ตั้งไว้ร้อยละ ๘๐ ส่วนการเพิ่มความถี่ในการคัดกรองเป็นทุก ๓ ปี ถึงแม้จะมีความคุ้มค่าและได้ประโยชน์เพิ่ม แต่ควรวางแผนด้านบุคลากรและระบบให้พร้อม
บทคัดย่อ
As cervical cancer is the second most common cancer in Thai women, it is important for policy
makers to effectively implement the screening program. The aim of this study was to assess the incremental
cost-effectiveness of the current 5-yearly screening practice for all women aged 30-60 years, compared
with the alternative options that differ in the screening interval and target age groups. The study adopted
a Markov model conducted in 2007 under the Thai healthcare setting. All costs were estimated under
societal perspective and converted to the year 2012 values using the Thai consumer price index. Utility
score was calculated based on the Thai scoring algorithm. We found that screening cervical cancer in Thai women was cost-effective compared to no screening. The current practice showed a certain benefit of 40
percent reduction in incidence and mortality. The second most efficient strategy was a 3-yearly screening
for women aged 30-60 years, with the incremental cost-effectiveness ratio -73,300 baht per quality-adjusted
life year gained and the expected prevention of 900 cervical cancer cases and 450 deaths per year.
Treatment cost was reduced to 1.2 billion baht per year. But more than 180 cytologists and pathologists are
needed to cope with increasing demand. Strengthening the current program by increasing the number of
women for screening to reach the targeted coverage rate of 80 percent is the most cost-effective and pragmatic
option in Thailand.