บทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสถานการณ์ระบบบริการช่วยเลิกบุหรี่ในประเทศไทยในช่วงปี 2550-2555 และปัจจัยความสำเร็จ รวมทั้งสรุปบทเรียนสำหรับการพัฒนารูปแบบบริการช่วยเลิกบุหรี่ที่เหมาะสมในอนาคต โดยการทบทวนวรรณกรรม การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ปฏิบัติในคลินิกอดบุหรี่ในโรงพยาบาล 10 แห่งที่มีการบริหารจัดการที่โดดเด่น ผ่านเกณฑ์การพิจารณาโรงพยาบาลปลอดบุหรี่ของเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ (ระดับเงิน ระดับทอง และระดับเพชร) และเป็นโรงพยาบาลภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีบริการช่วยเลิกบุหรี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ คลินิกอดบุหรี่ในโรงพยาบาล สายด่วนปลอดบุหรี่ (Quitline 1600) บริการช่วยเลิกบุหรี่ในร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำ และบริการในคลินิกทันตกรรมของศูนย์บริการสาธารณสุข สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยรูปแบบที่พัฒนาอย่างเป็นระบบเพื่อขยายบริการแบบถ้วนหน้า (Universal access) ได้แก่ Quitline 1600 และคลินิกอดบุหรี่ในสถานพยาบาลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคลินิกฟ้าใสไร้ควัน (SMART Quit Clinic) ซึ่งพัฒนามาจากคลินิกอดบุหรี่ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีคู่มือแนวทางเวชปฏิบัติสำหรับแพทย์และบุคลากรอื่น ในการบำบัดรักษาผู้ติดบุหรี่ คลินิกอดบุหรี่ทั้ง 10 แห่งมีมาตรฐานโครงสร้างและบริการไม่แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะการบูรณาการบริการ 5A ได้แก่ Ask (สอบถามประวัติ) Advise (แนะนำให้เลิกบุหรี่) Assess (ประเมินการติดบุหรี่) Assist (ช่วยให้เลิกบุหรี่) Arrange (ติดตามการเลิกบุหรี่) โดยโรงพยาบาลบางแห่งสามารถเพิ่มศักยภาพให้ทุกฝ่ายสามารถให้บริการได้ โดยไม่ต้องส่งมาที่คลินิกอดบุหรี่ คลินิกอดบุหรี่ส่วนใหญ่อยู่ในความรับผิดชอบของงานจิตเวช โดยให้คำปรึกษาร่วมกับการใช้ยาควบคู่กันไป การฟื้นฟูและติดตามผู้ติดบุหรี่ มีแบบแผนการให้บริการที่ชัดเจน และถือเป็นตัวชี้วัดที่โรงพยาบาลให้ความสำคัญ การติดตามทำได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยใช้บุคคลภายนอกในการประสานเครือข่ายในชุมชนให้ช่วยติดตามดูแล สำหรับข้อเสนอแนวทางในการพัฒนาระบบการจัดบริการช่วยเลิกบุหรี่ในประเทศไทย มี 5 ประการคือ 1) ให้การบริการสำหรับผู้ที่มีปัญหาการติดบุหรี่เป็นโปรแกรมเฉพาะของ สปสช. โดยทำงานร่วมกับองค์กรที่มีบทบาทหรือมีศักยภาพที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการให้บริการคลินิกอดบุหรี่ที่ดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาระบบบริการงานคลินิกอดบุหรี่ในสถานพยาบาลทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 2) จัดตั้งคณะทำงานผู้รับผิดชอบหลักเพื่อวางแผนและพัฒนาการบูรณาการระบบบริการเลิกบุหรี่ของประเทศไทยให้มีระบบเดียว มีการกำหนดนโยบายในระดับองค์กรที่ชัดเจนและมีองค์กรผู้รับผิดชอบหลักตั้งแต่ระดับกระทรวง ภาค เขต และจังหวัด 3) พัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อช่วยในการเลิกบุหรี่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีเทคนิคการเลิกบุหรี่ที่ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเผยแพร่สนับสนุนให้แก่คลินิกอดบุหรี่ และมีการพัฒนาข้อมูลข่าวสารด้านวิทยาการเลิกบุหรี่ให้ทันต่อสถานการณ์ และมีช่องทางการรายงานหรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้รับผิดชอบคลินิกอดบุหรี่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดประชุมสัมมนาและอบรมวิชาการ การเผยแพร่งานวิจัย โดยเชิญผู้รับผิดชอบคลินิกอดบุหรี่ให้เข้าร่วมประชุม 4) จัดให้มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานในการอบรมให้คำปรึกษา รูปแบบการรักษา ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเรียนรู้งานเป็นระบบเดียวกันทั่วประเทศ 5) กำหนดให้การเลิกสูบเป็นเงื่อนไขในการเข้ารับการบริการรักษา โดยเริ่มจากผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง
บทคัดย่อ
The objective of this study is to assess the situation of hospital-based smoking cessation clinics in
Thailand from 2007 to 2012 by conducting literature review and assessment in 10 sites supported by
National Health Security Office (NHSO) in order to identify success factors and good practices for scaling
up. The result shows that there are four models such as hospital-based cessation clinics, Quitline service,
cessation services in pharmacies with full-time pharmacist and by dental clinics in public health centres
under Bangkok Metropolitan Authority. Two systems were developed to achieve universal access to
cessation service such as Quitline 1600, cessation clinics supported by NHSO, including SMART Quit
Clinic. Clinical practice guidelines for treating tobacco dependence by physicians and other health professionals,
for which the contents of the guideline can be adjusted to suit each profession, were also issued. In
the ten smoking cessation sites, the structure and services differ slightly depending on the context and
size of hospital. The 5A’s system (Ask, Advice, Assess, Assist and Arrange) was fully integrated into
routine work in all departments without referring the smoker clients to the smoking cessation clinics.
Usually providing consultations and parallel medication are offered. Plans for rehabilitation and followup
with support from network outside hospitals such as health centres and volunteers are the key performance
indicators
This study recommends: 1) In collaboration with organizations involved or with capacity to be
involved in existing cessation services, make services for smokers a special program under NHSO to
improve central and regional systems. 2) To plan and integrate Thai cessation services into one system, set
up a workgroup with clear organizational policies as the responsible body for all levels from ministerial,
regional, district to provincial level. 3) To develop up-to-date educational media for use by cessation
clinics through which standardized cessation techniques can be taught. Provide channels for continuous
report and public relation including seminar, training and research dissemination where those responsible
for cessation clinics are invited. 4) To have personnel throughout the country trained under the same
system, set up a central office responsible for setting consultation and treatment training standards. 5) To
have service conditions set; for patients with chronic diseases make cessation a condition for receiving
services.