บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ครอบครัวผู้สูงอายุและปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากลำบากของครอบครัวผู้สูงอายุใน 10 จังหวัดของไทย เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามกับผู้สูงอายุ 4,561 ครอบครัว เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสนทนากลุ่มกับผู้ปฏิบัติงานในชุมชนและครอบครัวผู้สูงอายุ 214 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาตามประเด็นที่กำหนดไว้
ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์ครอบครัวผู้สูงอายุโดยภาพรวมครึ่งหนึ่งเป็นครอบครัวผู้สูงอายุดูแลเด็ก รองลงมาคืออยู่คนเดียวและอาศัยร่วมกันตามลำพังกับคู่สมรส มากกว่าครึ่งหนึ่งสามารถดูแลสุขภาพตัวเองและสมาชิกในบ้านเดียวกันในระดับปานกลาง สัมพันธภาพกับสมาชิกในบ้านเดียวกันมีสัดส่วนใกล้เคียงกันทั้งระดับดี/ปานกลาง/ไม่ดี ประมาณ 1 ใน 3 สามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจในระดับน้อย ครอบครัวผู้สูงอายุที่ดูแลผู้พิการมีความยากลำบากและผลกระทบในระดับมากและต้องดูแลเรื่องอาหารมากที่สุด ส่วนกรณีดูแลเด็กต้องดูแลด้านการเงินมากที่สุด ปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากลำบากของครอบครัวผู้สูงอายุก็คือ พื้นที่อยู่อาศัย ลักษณะครอบครัว รายได้ ทรัพย์สิน เงินออม หนี้สิน ภาระในการดูแลผู้สูงอายุ/ดูแลเด็ก/ดูแลสมาชิกพิการ (p-value<0.001) รวมทั้งจิตใจ ปัจจัยสี่ สัมพันธภาพในครอบครัว/ชุมชน การเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่างๆ
ข้อเสนอแนะคือ ควรส่งเสริมนโยบายการจัดสวัสดิการสงเคราะห์แก่ครอบครัวผู้สูงอายุให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างมีระบบ สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการดูแลครอบครัวผู้สูงอายุและศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของครอบครัวผู้สูงอายุแบบองค์รวม
บทคัดย่อ
This paper aimed to study the elderly families situations and factors contributing to the elderly
families hardship in 10 provinces of Thailand. The study applied quantitative and qualitative methods to
collect data; from selected 4,561 elderly families using quantitative method and another 214 using focus groups interview with community officers and families with home dwelling elderly. The collected data
was analyzed using descriptive statistics and content analysis.
Overall, the study found that half of the surveyed families were families with the elderly who looked
after children in the families, following elderly living alone and living with their spouse respectively.
There were more than half of the elderly who had ability for self-caring and moderate caring for other
members. Level of relationship among other families members were no significant different at all levels;
good/moderate/bad. There was 1 in 3 of the elderly who responded that they had poor economic selfreliance.
For the type of support, the elderly dwelling with disabled person reported the highest hardship
and the need of dietary/feeding was the most expected support; whilst the elderly dwelling with children
reported highest need on financial support. Factors having high impact on hardship of the elderly families
were residential area, family profile, income, asset, saving, debt, and burden of caring on any family
member of elderly/child/disabled (p-value <0.001), including mental state, 4 basic needs of life, family/
community relationship, ability to access rights and social welfare.
The study recommended that social welfare should be fair, systematic including enhancing community
participation in promoting health and well-being among aging people. Lastly, further in-depth study
on factors influencing family health and caring for the elderly ought to be accelerated to promote better
quality of life for the elderly.