บทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ช่องว่างของมาตรการและกฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ในการศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้ยุทธศาสตร์ระดับโลกเพื่อลดการดื่มสุราแบบอันตรายเป็นกรอบในการวิเคราะห์ และศึกษาเอกสารทางกฎหมายและมาตรการต่างๆ ที่บังคับใช้ก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ผลการศึกษา พบว่า ประเทศในกลุ่ม CLMV ส่วนใหญ่มีมาตรการและกฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในด้านการจัดเก็บภาษี การจำกัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด การจำกัดการโฆษณา และการเฝ้าระวังเป็นสำคัญ ในขณะที่ส่วนขาดของมาตรการและกฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประกอบด้วย มาตรการแสดงความเป็นผู้นำและมุ่งมั่นในนโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ มาตรการควบคุมร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบมีสถานที่ดื่ม (on-premise) และแบบไม่มีสถานที่ดื่ม (off-premise) มาตรการควบคุมการส่งเสริมการขายและการจัดวางผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมาตรการฝึกอบรมการให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรับผิดชอบ นอกจากนี้ การบังคับใช้มาตรการและกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นช่องว่างที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผิดกฎหมาย การศึกษานี้มีข้อเสนอแนะให้ประเทศในกลุ่ม CLMV เร่งประกาศใช้มาตรการเชิงนโยบายด้านแอลกอฮอล์ระดับชาติที่ครอบคลุมการจัดการปัญหาแอลกอฮอล์ในทุกมิติและจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติโดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน รวมทั้ง ร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผิดกฎหมาย
บทคัดย่อ
This study aimed to analyze gaps of alcoholic beverage laws and regulations in Cambodia, Lao PDR, Myanmar, and Vietnam (CLMV). Using qualitative approaches with the Global Strategy to Reduce the Harmful Use of Alcohol as a framework, we conducted a document research on laws and regulations implemented before 28 February 2017. The most popular laws and policies of CLMV focus on 1) taxation, 2) blood alcohol concentration limits, 3) restriction on alcohol advertising, and 4) national surveillance. The main policy gaps found in this study included: lack of national leadership and commitment on alcohol policy, lack of control between on-premise and off-premise sales of alcoholic beverages; regulations on alcoholic beverage marketing, sales promotion and product placement; and responsible beverage services training measures. Other key policy gaps included a lack of efficient and effective enforcement, especially control of illegal alcoholic beverages. Promulgation of the overarching national alcohol policy legislation and establishment of national alcohol control committees with participation from several sectors and further cooperation with other stakeholders to tackle illegal alcoholic beverages are recommended.