• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

การถอดบทเรียนการดำเนินนโยบายคนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน ใน 4 จังหวัดของประเทศไทย

ฑิณกร โนรี; Thinakorn Noree; ชลิดา พลอยประดับ; Chalida Ploypradub; วิชาวี พลอยส่งศรี; Wichavee Ploysongsri;
วันที่: 2565-08
บทคัดย่อ
นโยบายคนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน หรือนโยบายสามหมอ เริ่มในปี พ.ศ. 2563 โดยมุ่งเป้าให้คนไทยมีหมอดูแลสุขภาพประจำครอบครัวตั้งแต่ในหมู่บ้าน สถานีอนามัย หรือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลชุมชนในระดับอำเภอและโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไประดับจังหวัด โดยมีหมอ 3 คน 3 ระดับ คือ หมอคนที่ 1 อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เป็นหมอประจำบ้าน, หมอคนที่ 2 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เป็นหมอสาธารณสุข และหมอคนที่ 3 แพทย์ในโรงพยาบาล เป็นหมอเวชปฏิบัติครอบครัว ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของประเทศไทย การศึกษานี้มุ่งเน้นการถอดบทเรียนและติดตามการดำเนินนโยบายในพื้นที่ 4 จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ กำแพงเพชร ร้อยเอ็ด สระบุรีและตรัง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการดำเนินงานปฐมภูมิมาก่อนหน้านี้เป็นอย่างดีและมีเป้าหมายที่จะดำเนินงานตามนโยบายสามหมอให้ครอบคลุมทั้งจังหวัด การศึกษาใช้วิธีแบบผสมผสาน (mixed method) โดยใช้แบบสอบถามเพื่อประเมินความเข้าใจและความพึงพอใจนโยบาย มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 644 คน โดยเป็นหมอคนที่ 2 และ 3 จำนวน 47 คน และหมอคนที่ 1 จำนวน 597 คน และใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 54 คน แบ่งเป็นผู้บริหารในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล จำนวน 30 คน และ ผู้ให้บริการ จำนวน 24 คน ผลการศึกษาพบว่านโยบายสามหมอเป็นส่วนเสริมที่สำคัญในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 การดำเนินงานนโยบายสามหมอใน 4 จังหวัด สามารถบรรลุผลลัพธ์เชิงปริมาณด้านการขึ้นทะเบียนของประชาชนกับผู้ให้บริการทั้งหมอคนที่ 1, 2 และ 3 แต่อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินการในเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะการมุ่งที่ให้บรรลุเป้าหมาย “รู้จัก รู้ใจ เข้าถึงและพึ่งได้” นั้น ยังต้องมีการดำเนินงานอย่างจริงจังและต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมอีกหลายด้าน ปัจจัยสำคัญในการดำเนินงานนโยบายสามหมอให้บรรลุผลลัพธ์ ประกอบด้วย การบูรณาการนโยบายระดับกระทรวง การจัดโครงสร้างกลุ่มงานปฐมภูมิและสาธารณสุขมูลฐานในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และการเพิ่มจำนวนแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่เพียงพอ ปัจจัยท้าทายสำคัญในระยะเวลาอันใกล้นี้ คือ การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจากกระทรวงสาธารณสุขไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีส่วนอย่างมากต่อความสัมพันธ์และการดำเนินงานนโยบายสามหมอ

บทคัดย่อ
3-Moh policy launched in 2020 aims that each family has three doctors at the community, health center (or Health Promoting Hospital) and hospitals (a district hospital and a provincial hospital/regional hospital). The three-doctor policy recognize three doctors at three levels. The first doctor or Moh#1 is a village health volunteer who provide health services at community level. The second doctor or Moh#2 is health workers of a health center or a sub-district health promoting hospital providing health services at Tumbon or sub-district level. The third doctor or Moh#3 is a family medicine at district or provincial hospital. working at district level. Furthermore, 3-Moh policy aims to strengthen primary care development in Thailand. This study aims to explore lesson-learned and implementation process of 3-Moh policy in 4 target provinces namely Kamphaeng Phet, Roi Et, Saraburi and Trung. These provinces have had outstanding primary care development and they target a full-area implementation of 3-Moh policy. Mixed method was employed to capture all information. To assess an understanding and satisfaction on this policy, a total of 644 self-administered questionnaires were completed by 597 respondents who are Moh#1 and47 respondents who are Moh#2 & 3. In-depth interview was conducted among 30 administrators at provincial, district and sub-district level, and 24 healthcare providers. The study demonstrated that 3-Moh policy notably fostered an achievement of Primary Care Act B.E. 2562. In term of quantity, these 4 provinces achieve the target on registration of health and care providers to population. However, the implementation of this policy is still far from achieving its goal in term of quality which consist of “recognition, familiarity, accessibility and trustworthy”. There are rooms for improvement to achieve the goals of this policy. Key enabling factors for success are an integration of primary care-related policies among departments at ministerial level, an establishment of primary care division at provincial health office for integrated implementation and systematical monitoring and evaluation and an increase number of family doctors which is considered as a bottleneck of this policy. In addition, key challenge in the future is decentralization of health centers to local governments which is considered to affect a relationship and implementing of this policy
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs2888.pdf
ขนาด: 3.624Mb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 0
ปีงบประมาณนี้: 22
ปีพุทธศักราชนี้: 11
รวมทั้งหมด: 246
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Research Reports [2475]

    งานวิจัย

ชิ้นงานที่เกี่ยวข้อง

แสดงชิ้นที่เกี่ยวข้องโดย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ผู้สร้าง และหัวเรื่อง

  • การประเมินศักยภาพของระบบสุขภาพในความพร้อมรับมือการระบาดโรค COVID-19 ในพื้นที่ชายแดน จังหวัดเชียงราย 

    อนุสรณ์ อุดปล้อง; Anusorn Udplong; ธวัชชัย อภิเดชกุล; Tawatchai Apidechkul; ฟาติมา ยีหมาด; Fartima Yeemard (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2565-10)
    การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพของบุคลากรและระบบสุขภาพในการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19 ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดเชียงราย คือ ...
  • การพัฒนาประสิทธิภาพทางการคลังที่ยั่งยืนสำหรับระบบหลักประกันสุขภาพ และแบบจำลองการจัดสรรทรัพยากรกำลังคนด้านสุขภาพ 

    ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย; Theepakorn Jithitikulchai (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2564-06)
    โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) พื้นที่การคลังสาธารณสุข: ประมาณการช่องว่างในการกำหนดงบประมาณ (Fiscal Space) ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและระบบสาธารณสุข และ 2) การจัดสรรบุคลากร: ศึกษาช่องว่างอุปส ...
  • ประชุมวิชาการระดับนานาชาติ สมาคมนักระบาดวิทยาภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านสาธารณสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน 

    ธวัชชัย อภิเดชกุล; Tawatchai Apidechkul (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2565-11)
    การประชุมวิชาการระดับนานาชาติ สมาคมรักระบาดวิทยาภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านสาธารณสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน (The 14th SEA Regional Scientific Meeting of the International Epidemiological Association and International ...

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [620]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [99]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [286]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [126]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [159]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1285]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [229]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [20]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV