บทคัดย่อ
ผู้ป่วย COVID-19 ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้มีการขยายบริการสุขภาพ ซึ่งพยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยและบริการสุขภาพด้านอื่นๆ ทำให้มีการบริหารอัตรากำลังและพัฒนาสมรรถนะที่แตกต่างกันตามบริบทของโรงพยาบาล การวิจัยแบบถอดบทเรียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ถอดบทเรียนการบริหารจัดการกำลังคนด้านการพยาบาลและสมรรถนะของพยาบาลเพื่อตอบสนองภาวะวิกฤต COVID-19 ในระบบบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ เขตสุขภาพที่ 10 และ 2) เพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารจัดการกำลังคนด้านการพยาบาลและสมรรถนะของพยาบาล เก็บข้อมูลช่วงตุลาคม พ.ศ. 2564 - เมษายน พ.ศ. 2565 ใช้วิธีเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยวิเคราะห์เอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม มีผู้ให้ข้อมูล จำนวน 293 คน ได้แก่ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 10 ผู้แทนสภาการพยาบาล ผู้แทนกองการพยาบาล นายแพทย์สาธารณสุข กรรมการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Center, EOC) ผู้อำนวยการโรงพยาบาล หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล แพทย์ผู้รักษาผู้ป่วย COVID-19 พยาบาล IC และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วย COVID-19 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อค้นพบมี 2 ประเด็น คือ 1) การจัดอัตรากำลังพยาบาลในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิและตติยภูมิใช้วิธีการที่คล้ายกัน คือ 1.1) การเกลี่ยอัตรากำลังจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งในรูปแบบการขอความร่วมมือหรือสั่งการและขอจิตอาสา 1.2) มีการใช้ระบบ mixed-skill staff และ 1.3) หัวหน้าหอผู้ป่วยที่มีภาระงานน้อยได้รับมอบหมายให้ช่วยนิเทศควบคุมกำกับการปฏิบัติงานที่หอผู้ป่วย COVID-19 ส่วนที่แตกต่าง คือ โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิมีการปรับชั่วโมงการทำงานจาก 8 ชั่วโมง เป็น 12 ชั่วโมง และ 2) การพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิและตติยภูมิเหมือนกันในเรื่อง รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะมีความหลากหลายทั้งใช้การสอนทักษะหน้างานเป็นหลัก การจับคู่แบบพี่เลี้ยงและมีการสืบค้นหาความรู้จากสื่อออนไลน์ด้วยตนเอง โดยพยาบาลป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อของโรงพยาบาล ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอนทักษะการป้องกัน การแพร่กระจายเชื้อให้กับบุคลากรทุกคนและติดตามการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดูแลผู้ป่วยและเผยแพร่ให้บุคลากรทราบ นอกจากนี้ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิเน้นการสอนทักษะสำหรับการดูแลผู้ป่วยที่ซับซ้อนมาก การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง การใช้ห้องแรงดันลบและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ทักษะที่สอนมาก คือการใส่และถอดชุด PPE/PAPR การช่วยใส่ท่อช่วยหายใจผู้ป่วย COVID-19/Auto CPR/การจัดท่านอนคว่ำในผู้ป่วย ARDS และการดูแลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น ความสำเร็จในการดำเนินการเกิดจากความร่วมมือของพยาบาลและหลายภาคส่วน สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ กำหนด Protocol ในการจัดอัตรากำลังและสมรรถนะที่จำเป็นของพยาบาลในสถานการณ์วิกฤต ระบบและกลไกการจัดอัตรากำลังที่ชัดเจนมีการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลอย่างต่อเนื่องและจัดให้พยาบาลได้ทำงานตามบทบาทหน้าที่มากขึ้น
บทคัดย่อ
The increasing number of COVID-19 patients during the pandemic posed a great challenge for health care services. Nurses play a vital role in in providing care to these patients and managing other health care services, which created a significant challenge in regard to work force management and competency varied with a hospital’s resources. This qualitative research aimed to discover the lessons we can learn from the COVID-19 crisis experience which can lead to policy suggestions regarding workforce management and nurse competency at the secondary and tertiary care levels in the 10th Public Health Region of Thailand. Document analysis, in-depth interviews, and focus group discussions were used to collect data from October 2021 to April 2022. The 293 key informants included the Ministry of Public Health (MoPH) inspector for the 10th Public Health Region, representatives of the Thailand Nursing and Midwifery Council and the Nursing Division of the Ministry of Public Health, the Provincial Chief Medical Officer, a group from the Emergency Operations Center (EOC) Committee, hospital directors, heads of nursing departments, physicians, infection control (IC) nurses, and nurses engaged in COVID-19 patient care. The data were analyzed using content analysis. The study revealed two major findings as follow: First, workforce management in responses to the Covid-19 crisis in both the secondary and tertiary care setting included several similar strategies, namely: 1) implementation of pooled staffing using personnel from different units including nurses who volunteered when asked or were given direct ordereds, 2) using mixed-skill nursing staffing, and 3) assigning the head nurses of the units with lower workloads as supervisors in the COVID-19 cohort wards. However, some different strategies were implemented at the secondary care setting, including modifying working hours from 8-hour shifts to 12-hour shifts Last, having different nursing competency development models for COVID-19 care, which varied from setting to setting. The majority of competency development was on-the-job training, followed by pair-mentoring and self-directed learning strategies where staff searched the internet for available COVID-19 related resources to improve their knowledge about how to provide care for their patients. The IC nurses played a major role in increasing the hospital staff’s infection control competency, as well as updating and distributing the COVID-19 practice guidelines. Moreover, in the tertiary care settings, nurse competency development was focused on the essential skills required to care for critically ill and complicated patients and the technical skills related to using advanced technology medical equipment, negative pressure rooms, and other equipment related to COVID-19 patient care. The most common education and training conducted in the hospitals were related to the donning (putting on) and doffing (removing) of personal protection equipment (PPE) or powered air purifying respirators (PAPR), intubation of COVID-19 patients, Auto CPR, prone positioning of COVID-19 patients experiencing Adult Respiratory Distress Syndrome (ARDS), and mechanical ventilator care. The key to the success of the response to the crisis was the collaboration from all of the partners and stakeholders. The policy suggestions focus on designing and planning a comprehensive nursing workforce management and competency policy to handle crisis situations, developing the nursing workforce system and mechanisms in order to retain nurses in the system, implementing education and training programs to promote the continuous maintenance and improvement of nurses’ competencies, and creating a working environment which allows nurses to maintain their roles in providing direct patient care.