• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

การประเมินเชิงเปรียบเทียบชุดตรวจวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝงจากตัวอย่างเลือด: QuantiFERON-TB Gold Plus และ QIAreach QuantiFERON-TB

วิพัฒน์ กล้ายุทธ; Wiphat Klayut; จณิศรา ฤดีอเนกสิน; Janisara Rudeeaneksin; โสภา ศรีสังข์งาม; Sopa Srisungngam; พายุ ภักดีนวน; Payu Bhakdeenuan; สุปราณี บุญชู; Supranee Bunchoo; จันทร์ฉาย คำแสน; Junchay Khamsaen; ปนัดดา อร่ามเรือง; Panatda Aramrueang; เบญจวรรณ เพชรสุขศิริ; Benjawan Phetsuksiri;
วันที่: 2566-06
บทคัดย่อ
การตรวจวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝงและการจัดการที่เหมาะสม เป็นองค์ประกอบสำคัญในการลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากวัณโรค การตรวจวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝง ด้วยการตรวจสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมาจากตัวอย่างเลือด มีข้อดีกว่าการทดสอบทางผิวหนังด้วยน้ำยาทุเบอร์คุลิน แต่ชุดตรวจที่ใช้งานในปัจจุบันมีราคาสูงและต้องการการทดสอบด้วยวิธี Enzyme-Linked Immunosorbent Assay (ELISA) ที่มีความซับซ้อนและไม่เหมาะสมสำหรับห้องปฏิบัติการระดับอำเภอหรือจังหวัด ชุดตรวจ QIAreach QuantiFERON-TB (QIAREACH-TB) เป็นการตรวจสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมาจากตัวอย่างเลือดแบบใหม่ ด้วยเทคนิค Lateral Flow Immunoassay (LFA) ร่วมกับการวัดสัญญาณฟลูออเรสเซนต์แบบดิจิทัล การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินชุดตรวจวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝงจากตัวอย่างเลือดแบบใหม่ QIAREACH-TB เปรียบเทียบกับชุดตรวจแบบเดิม QuantiFERON-TB Gold Plus (QFT-Plus) โดยวิธีการศึกษา คือ เก็บตัวอย่างเลือดจากอาสาสมัครกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 154 ราย และตรวจวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝงด้วยชุดตรวจ QFT-Plus และ QIAREACH-TB ผลการศึกษา เมื่อเปรียบเทียบกับชุดตรวจ QFT-Plus ชุดตรวจ QIAREACH-TB มีค่า Overall Percentage Agreement; OPA (หรือค่าความถูกต้อง) เท่ากับร้อยละ 93.46 (ช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95 [95% Confidence Interval; 95% CI]: 88.31-96.82) ค่า Positive Percent Agreement; PPA (หรือค่าความไว) เท่ากับร้อยละ 88.46 (95% CI: 69.85-97.55) และค่า Negative Percent Agreement; NPA (หรือค่าความจำเพาะ) เท่ากับร้อยละ 94.49 (95% CI: 88.97-97.76) โดยสรุป ชุดตรวจ QIAREACH-TB มีผลการประเมินความสอดคล้องกับชุดตรวจ QFT-Plus แบบเดิมในระดับสูง แต่ใช้โครงสร้างและทรัพยากรทางห้องปฏิบัติการน้อยกว่า เนื่องจากไม่ต้องใช้การทดสอบด้วยวิธี ELISA ส่งผลให้สามารถขยายมาตรการการค้นหาผู้ติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง ตามแผนยุทธศาสตร์แผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรคต่อไป

บทคัดย่อ
Diagnosis and proper management of latent tuberculosis infection (LTBI) are important components in reducing the number of patients and deaths from tuberculosis (TB). The diagnosis of LTBI using the interferon-gamma release assays (IGRAs) to detect interferon-gamma in bloods sample has advantages over the tuberculin skin test (TST), but the currently used test kits are expensive and require enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA), making it complicate and unsuitable for a district or provincial laboratory use. The QIAreach QuantiFERON-TB (QIAREACH-TB) is a novel blood-based test that uses lateral flow immunoassay (LFA) and digital fluorescence signal measurement to detect interferon-gamma. This study aimed to evaluate the QIAREACH-TB for the diagnosis of LTBI using a whole-blood sample compared to the QuantiFERON-TB Gold Plus (QFT-Plus). Blood samples were collected from 154 healthcare workers (HCWs) and tested for LTBI using the QFT-Plus and QIAREACH-TB. The results showed that the overall percentage agreement (OPA; accuracy) between the QIAREACH-TB and QFT-Plus was 93.46% (95% confidence interval [95% CI]: 88.31-96.82), the positive percent agreement (PPA; sensitivity) was 88.46% (95% CI: 69.85-97.55), and the negative percent agreement (NPA; specificity) was 94.49% (95% CI: 88.97-97.76). In conclusion, the QIAREACH-TB has high agreements with the QFT-Plus, but requires fewer laboratory resources and does not require ELISA, thus making it allows for the expansion of efforts to detect individuals with LTBI following the national TB control strategy.
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs2997.pdf
ขนาด: 4.053Mb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 0
ปีงบประมาณนี้: 8
ปีพุทธศักราชนี้: 2
รวมทั้งหมด: 32
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Research Reports [2483]

    งานวิจัย

ชิ้นงานที่เกี่ยวข้อง

แสดงชิ้นที่เกี่ยวข้องโดย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ผู้สร้าง และหัวเรื่อง

  • การพัฒนาระบบวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์การระบาดของวัณโรคดื้อยาในชุมชน โดยการศึกษาปัจจัยด้านพันธุกรรมของเชื้อวัณโรคดื้อยา ปัจจัยเจ้าบ้านที่สัมพันธ์กับอัตราการติดเชื้อวัณโรคดื้อยาทั้งจากตัวผู้ป่วยและผู้สัมผัสผู้ป่วย กระบวนการแพร่ระบาด และกระบวนการรักษาในพื้นที่ระบาดของประเทศไทย 

    หัชชา ศรีปลั่ง; Hutcha Sriplung; ณัฏฐกัญจน์ ทิพย์เครือ; Natthakan Thipkrua; สมาน ฟูตระกูล; Samarn futrakul; อิทธิพล จรัสโอฬาร; Itthipol Jarusoran; ก่อพงษ์ ทศพรพงศ์; Koapong Tossapornpong; ผลิน กมลวัทน์; Phalin Kamolwat; ไกรฤกษ์ สุธรรม; Krairurk Sutham; กันยา เอกอัศดร; Kunya Eak-usadorn; กรุณา สุขเกษม; Karuna Sukasem; ณัฐพร ไชยประดิฐกุล; Nathaporn Chaipraditkul; สายใจ สมิทธิการ; Saijai Smitthikarn; จันทิรา สุขะสิฐษ์วณิชกุล; Junthira Sukasitwanitchakul; ณฐกร จันทนะ; Nathakorn Juntana; อารียา ดิษรัฐกิจ; Areeya Ditrathakit; อุษณีย์ อึ้งเจริญ; Usanee Ungcharern (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2564)
    การศึกษาปัจจัยด้านพันธุกรรมของเชื้อวัณโรคดื้อยา ปัจจัยเจ้าบ้านที่สัมพันธ์กับอัตราการติดเชื้อวัณโรคดื้อยาทั้งจากตัวผู้ป่วยและผู้สัมผัสผู้ป่วย กระบวนการแพร่ระบาดและกระบวนการรักษา เป็นการวิจัยแบบตัดขวาง (Crossectional study) ...
  • การศึกษาปัจจัยที่มีส่วนร่วมและกลไกในระดับโมเลกุลที่ส่งผลให้เชื้อวัณโรคดื้อยาหลายขนานสายพันธุ์ Beijing ST10 กาญจนบุรี ซึ่งเป็น clonal outbreak MDR-TB strain มีความสามารถพิเศษในการแพร่เชื้อและก่อโรคได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่นในประเทศไทย (ปีที่ 2) 

    มาริสา พลพวก; Marisa Ponpuak; ภากร เอี้ยวสกุล; Pakorn Aiewsakun; เทอดศักดิ์ พราหมณะนันทน์; Therdsak Prammananan; พินิตพล พรหมบุตร; Pinidphon Prombutara; ประภาภรณ์ ศรีโลหะสิน; Prapaporn Srilohasin (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2564)
    วัณโรคยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากการมีอุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อดื้อยาและเชื้อดื้อยาหลายขนาน จากการศึกษาเชื้อวัณโรคดื้อยาและเชื้อวัณโรคดื้อยาหลายขนานในประเทศไทยโดยใช้เทคนิค whole genome ...
  • การประยุกต์ใช้วิธีการพัฒนาคุณภาพโดยความร่วมมือในการป้องกันการขาดยาของผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่ 

    อะเคื้อ อุณหเลขกะ; Akeau Unahalekhaka (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2564)
    โครงการนี้เป็นโครงการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการดำเนินงานในการป้องกันการขาดยาของผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่ที่เหมาะสมกับลักษณะของผู้ป่วยแต่ละกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการปฏิบัติงานขอ ...

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [620]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [100]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [286]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [126]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [160]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1290]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [232]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [21]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV