บทคัดย่อ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 วิวัฒนาการระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของไทยเกิดการริเริ่มในทิศทางที่สอดคล้องกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการถ่ายโอนศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น จนถึงปัจจุบันมี 15 จังหวัด ที่มีการถ่ายโอนศูนย์สั่งการฯ สำเร็จ การศึกษาชิ้นนี้ประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงผสมผสานแบบเกิดพร้อมกันเพื่อประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกระจายอำนาจในลักษณะดังกล่าว สำหรับการศึกษาเชิงปริมาณ ประกอบด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ ฐานข้อมูลระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉิน (Information Technology for Emergency Medical Systems: ITEMS) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินในระดับประเทศ และการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ป่วย เพื่อประเมินการเข้าถึงและคุณภาพบริการ สำหรับการศึกษาเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มผู้กำหนดนโยบายส่วนกลาง และผู้ปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดที่มีการถ่ายโอนและจังหวัดที่ไม่มีการถ่ายโอน เพื่อขยายความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการนโยบายและปัญหาอุปสรรคในบริบทที่แตกต่างกัน ผลการค้นพบหลัก 1. การเปรียบเทียบสมรรถนะ 1.1 จังหวัดที่มีการถ่ายโอนศูนย์สั่งการฯ มีสมรรถนะด้อยกว่าในหลายประเด็น คือ ความแม่นยำในการคัดกรองผู้ป่วยทางโทรศัพท์ต่ำกว่า, สัดส่วนการใช้หน่วยปฏิบัติการระดับสูงในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตต่ำกว่า, มีระยะเวลาตอบสนอง (response time) นานกว่า อย่างไรก็ดี ไม่พบว่าการเสียชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลแตกต่างกันระหว่างสองกลุ่มจังหวัดดังกล่าว 1.2 การเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประชาชนในจังหวัดที่มีการถ่ายโอนเพิ่มมากขึ้น แต่อัตราการใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน (1669) ในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตของจังหวัดที่มีการถ่ายโอนต่ำกว่าของจังหวัดที่ไม่ถ่ายโอน แต่ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ความรวดเร็วในการต่อสายด่วน 1669 ของจังหวัดที่มีการถ่ายโอนต่ำกว่า ตลอดจนความเชื่อมั่นในระบบบริการต่ำกว่า สำหรับเหตุผลหลักที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตไม่เรียกใช้บริการ 1669 คือ คิดว่าเดินทางมาโรงพยาบาลเองสะดวกกว่า 2. วิวัฒนาการเชิงระบบ 2.1 การขยายความครอบคลุมของระบบการแพทย์ฉุกเฉินของไทยทำได้จำกัด เนื่องจากยังเป็นไปตามความพร้อมและความสมัครใจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดให้มีระบบดังกล่าว ยังไม่มีแผนการกระจายอำนาจในการถ่ายโอนภารกิจด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.2 การยกระดับคุณภาพมาตรฐานของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ในช่วงที่ผ่านมามีช่องว่างหลายประการ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) มุ่งเน้นการกำหนดมาตรฐานบุคลากรและหน่วยปฏิบัติการประเภทต่าง ๆ กำหนดมาตรฐานหลักสูตรและองค์กรฝึกอบรม กำหนดตัวชี้วัดและระบบข้อมูลในการกำกับติดตามประเมินสมรรถนะของระบบการแพทย์ฉุกเฉินระดับจังหวัด และระบบประเมินและรับรองคุณภาพระบบการแพทย์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ดี ขาดระบบสนับสนุนที่เพียงพอแก่พื้นที่ในการดำเนินการพัฒนา โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ และการฝึกอบรม 2.3ระบบข้อมูลสารสนเทศดิจิทัล การนำระบบ D1669 มาใช้ในจังหวัดที่มีการถ่ายโอนศูนย์สั่งการฯ ไปยัง อบจ. มีช่องว่างสำคัญคือ ขาดการประเมินความพร้อมของพื้นที่ก่อนนำระบบไปติดตั้ง รวมถึงขาดระบบสนับสนุนที่เพียงพอ ขณะเดียวกันระบบ ITEM54.0 ที่นำมาใช้ทดแทนระบบ ITEMS3.0 ที่หมดสภาพไป พื้นที่ไม่สามารถดึงข้อมูลตามตัวชี้วัดมาใช้ในการกำกับติดตามประเมินระบบเหมือนของเดิมได้ ทำได้แค่การบันทึกข้อมูลเพื่อเบิกค่าออกปฏิบัติงาน นอกจากนั้น พบว่า ความสมบูรณ์ของฐานข้อมูลในระบบ ITEMS ถดถอยลงเมื่อเปลี่ยนจาก ITEMS3.0 เป็น ITEMS4.0 2.4 งบประมาณและการชดเชย งบประมาณ สพฉ. ที่สนับสนุนการบริหารจัดการและพัฒนาระบบแก่จังหวัดถดถอยลงเป็นลำดับ แหล่งงบประมาณจาก อบจ. มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ รวมถึงการบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่นในจังหวัดและการระดมทุนในพื้นที่ในรูปแบบมูลนิธิ อัตราการจ่ายชดเชยค่าบริการแก่หน่วยปฏิบัติการแพทย์ไม่ได้รับการปรับให้สอดคล้องกับต้นทุนการจัดบริการ ปรากฏการณ์ที่หน่วยปฏิบัติการแพทย์ระดับสูงของโรงพยาบาลต้องนำค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ให้กับผู้ป่วยระหว่างการนำส่งโรงพยาบาลไปเบิกในระบบประกันสุขภาพ สะท้อนให้เห็นถึงการที่โรงพยาบาลต้องดิ้นรนเพื่อลดภาระการขาดทุนของโรงพยาบาล 2.5 การบริหารจัดการกำลังคนระบบการแพทย์ฉุกเฉินในรูปแบบการจ้างเหมาหรือลูกจ้างโครงการ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและการดำรงรักษากำลังคนที่มีศักยภาพไว้ในระบบ 2.6 ศักยภาพด้านวิทยาการระบบสุขภาพ (health system science) ของบุคลากรโดยเฉพาะผู้บริหารมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของการทำงานในลักษณะเครือข่าย เช่น ภาวะการนำของผู้บริหาร, การคิดเป็นระบบ, ทักษะการทำงานเป็นทีม, ทักษะการสื่อสารและการประสานงาน, การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและการบริหารจัดการโดยเฉพาะองค์กรที่ทำหน้าที่ในการควบคุมกำกับ 3. ช่องว่างการแพทย์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานคร 3.1 ช่องว่างหลักของระบบการแพทย์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร คือปัญหาการจัดหาโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ซึ่งแตกต่างจากในต่างจังหวัดที่เป็นประเด็นด้านความครอบคลุมและคุณภาพมาตรฐานของหน่วยปฏิบัติการแพทย์
บทคัดย่อ
Since 2016, Thailand has initiated the decentralization of its emergency medical
services (EMS) system, transferring emergency medical dispatch centers from hospitals to
provincial administrative organizations (PAOs) to better serve local populations. Currently,
15 provinces have successfully transferred these centers.
This study uses a concurrent mixed-methods research design, combining
quantitative analysis of secondary data from the Information Technology for Emergency
Medical Systems (ITEMS) database and patient surveys, with qualitative studies involving
in-depth interviews and focus group discussions with central policymakers and local
practitioners.
Key findings 1. Performance Comparison:
1.1 Provinces with transferred dispatch centers show lower performance in telephone
triage accuracy, use of high-level emergency response units, and response times.
However, there is no difference in out-of-hospital cardiac arrest mortality between
transferred and non-transferred provinces.
1.2 Access to EMS has increased in transferred provinces, but the usage rate of the 1669
emergency hotline is lower in these provinces compared to non-transferred ones,
though still higher than the national average. Critical emergency patients prefer
going to hospitals directly due to convenience.
2. Systemic Evolution:
2.1 Coverage Expansion: Limited due to local readiness and willingness, with no plan
for decentralizing EMS to local organizations.
2.2 Quality Standards: NIEMS focuses on setting standards, but lacks sufficient support
for local areas, particularly in budget and training.
2.3 Digital Information System: Significant gaps in implementing D1669, including lack
of readiness assessments and insufficient support. The new ITEMS4.0 system has
reduced data integrity compared to ITEMS3.0.
2.4 Budget and Compensation: Decreased budgets for NIEMS, inadequate compensation
rates for emergency services, and financial strain on hospitals.
2.5 Human Resource Management: Contractual employment hinders capacity
building and retention.
2.6 Health System Science: Crucial for networked operations, including leadership,
systemic thinking, and change management.
3. Bangkok's EMS Gap:
3.1 The main issue in Bangkok is finding hospitals to receive critical emergency patients,
differing from other provinces where coverage and quality standards are the primary
concerns.