บทคัดย่อ
ภูมิหลัง ในปี พ.ศ. 2566 มูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP Foundation) ได้ดำเนินการศึกษาในหัวข้อ “การจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวปฏิบัติและแนวทางการติดตามประเมินผลของระบบการแพทย์ทางไกล ผ่านการถอดบทเรียนในบริบทไทยและบริบทโลก” ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและองค์การอนามัยโลก (WHO Country Cooperation Strategy: WHOCCS) การศึกษาดังกล่าวครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยนำเข้า (input) และกิจกรรม (activity) กล่าวคือ การพัฒนาและการให้บริการ telemedicine โดยแบ่งเป็น 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การยอมรับ (adoption) การดำเนินการ (implementation) การปรับตัว (adaptation) และปัจจัยกำหนด (determinants) รวมถึงครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลผลิต (output) เช่น จำนวนและแนวโน้มการใช้บริการ telemedicine ในแต่ละช่วงระยะเวลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2567 นี้ เพื่อให้การสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการ telemedicine เป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะผู้วิจัยจึงดำเนินการศึกษาโดยขยายขอบเขตไปยังปัจจัยนำเข้าและกิจกรรมด้านการเงิน (financing) เช่น ระบบเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการและต้นทุนต่อหน่วย รวมถึงครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องผลลัพธ์ (outcome) เช่น ประสบการณ์ของผู้รับบริการและผลกระทบต่อบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ คำถามงานวิจัยและการดำเนินโครงการวิจัยได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผ่านความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการกำกับทิศแผนงาน Convergence of Digital Health Platforms and Health Information Systems (HIS) Implementation in Thailand (ภายใต้ WHOCCS) วัตถุประสงค์ การศึกษานี้ประกอบด้วย 3 วัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อศึกษาประสบการณ์ของผู้ให้และผู้รับบริการ telemedicine ในด้านการยอมรับ (acceptance) ความพึงพอใจ (satisfaction) การเข้าถึง (accessibility) และการใช้ประโยชน์ (usability) (2) เพื่อศึกษาผลลัพธ์เกี่ยวกับการใช้และการให้บริการ telemedicine (utilisation) รวมถึงผลกระทบต่อบริการผู้ป่วยนอกโดยทั่วไป (face-to-face OPD) และ (3) เพื่อศึกษาความพร้อม (readiness) ของสถานพยาบาลในการให้บริการ telemedicine รวมถึงประมาณการต้นทุนและศึกษาพร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการเบิกจ่ายและชดเชย (reimbursement) ค่าบริการ telemedicine ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษานี้ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสม (mixed-methods research) ประกอบด้วย การศึกษาเชิงคุณภาพ (qualitative study) และการศึกษาเชิงปริมาณ (quantitative study) โดยกำหนดขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมบริการ telemedicine สำหรับโรคเรื้อรัง และบางส่วนของการศึกษาครอบคลุมเฉพาะบริการ telemedicine สำหรับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคทางจิตเวช และอรรถบำบัด วิธีการเก็บข้อมูล ได้แก่ การทบทวนวรรณกรรมแบบมีขอบเขต การสัมภาษณ์เชิงลึกและการอภิปรายกลุ่มด้วยแนวคำถามแบบกึ่งโครงสร้าง และการเก็บข้อมูลทุติยภูมิจากระบบเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการและฐานข้อมูลของสถานพยาบาล การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์แก่นสาระ (thematic analysis) ขณะที่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขัดจังหวะ (interrupted time series analysis) และการวิเคราะห์ความแตกต่างในความแตกต่าง (difference-in-difference estimation) รวมถึงการวิเคราะห์ต้นทุนต่อหน่วยในมุมมองของผู้ให้บริการ (healthcare provider perspective) ด้วยการอิงกิจกรรม (activity-based costing) ผลการศึกษา จากการศึกษาประสบการณ์ของผู้ให้และผู้ใช้บริการสุขภาพ ทั้งกลุ่มที่เคยและไม่เคยใช้บริการ telemedicine ต่างยอมรับและตระหนักถึงข้อดีของบริการที่สามารถช่วยเพิ่มความสะดวกแก่ผู้รับบริการ เพิ่มการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีปัญหาทางการเคลื่อนไหวหรืออยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาล ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากโรงพยาบาล รวมถึงลดความเครียดระหว่างรอรับบริการที่โรงพยาบาล อีกทั้งผู้ที่เคยให้หรือรับบริการ telemedicine ส่วนใหญ่พึงพอใจต่อบริการและสนใจที่จะให้หรือรับบริการต่อ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางส่วนที่กังวลว่าประสิทธิภาพของบริการอาจไม่ดีเทียบเท่ากับการรับบริการแบบเผชิญหน้า ทั้งนี้ ผู้ให้ข้อมูลทุกกลุ่มสะท้อนถึงปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากบริการ telemedicine เกี่ยวกับข้อจำกัดด้านอุปกรณ์และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ความไม่เหมาะสมของช่องทางที่ใช้ในการให้บริการ และการขาดทักษะในการใช้เทคโนโลยีของผู้รับบริการ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 พบการใช้บริการ telemedicine ทั้งหมด 811,556 ครั้ง จากผู้ใช้บริการ 426,366 ราย โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 61) และมากกว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งนี้ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ (ร้อยละ 66) เคยใช้บริการแค่ครั้งเดียว ขณะที่ร้อยละ 61 ของผู้ที่กลับมาใช้บริการซ้ำเป็นการใช้แบบครั้งคราว โดยข้อบ่งใช้ที่พบมากที่สุดของบริการ telemedicine คือ ความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (I10) นอกจากนี้การวิเคราะห์ผลกระทบพบว่า นโยบายการแพทย์ทางไกลของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2566 ส่งผลให้จำนวนครั้งของการให้บริการ telemedicine มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (Odds Ratio (OR): 2.07, 95% Confidence Interval (CI): 0.91-4.68) ส่วนผลกระทบของนโยบายฯ ต่อบริการที่แผนกผู้ป่วยนอกนั้น พบว่า จำนวนครั้งของการใช้บริการลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 3,000 ครั้งต่อเดือนต่อสถานพยาบาล สำหรับความพร้อมและการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ พบว่า สถานพยาบาลภาครัฐที่สมัครและผ่านการประเมินศักยภาพของ สปสช. ในโครงการ Telehealth/Telemedicine (สำหรับโรคเรื้อรัง) มีเพียงร้อยละ 21 ของสถานพยาบาลภาครัฐทั้งหมด และเพียงร้อยละ 9 ของสถานพยาบาลภาครัฐทั้งหมดที่ขอเบิกจ่ายและได้รับการชดเชยค่าบริการ telemedicine ในส่วนของการประมาณการต้นทุน พบว่า ต้นทุนส่วนใหญ่เกิดจากค่าแรง โดยราคาที่จุดคุ้มทุนของแต่ละสถานพยาบาลแตกต่างกันไปตามทรัพยากรที่ใช้และขีดความสามารถในการให้บริการ โดยรูปแบบที่ผู้ป่วยต้องรับบริการผ่านโรงพยาบาลปลายทางมีต้นทุนสูงกว่ารูปแบบที่ผู้ป่วยสามารถรับบริการได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ หากพิจารณาต้นทุนรวมโดยไม่หักต้นทุนค่าแรง พบว่า ราคาที่จุดคุ้มทุนของสถานพยาบาลกลุ่มตัวอย่างทุกแห่งสูงกว่าอัตราเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ telemedicine ในปัจจุบัน สรุปผลการศึกษา Telemedicine ได้รับการยอมรับว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อระบบสาธารณสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต การติดตามและประเมินผลการให้บริการอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสนับสนุนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ผู้ให้บริการหรือผู้รับบริการ ในการพัฒนาและปรับปรุงการยอมรับ ความพึงพอใจ การเข้าถึง และความสะดวกในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้กำหนดนโยบายควรมีการหารืออย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับบริการ telemedicine รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอ เพื่อรองรับการให้บริการ telemedicine โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตและระบบจัดการข้อมูล ในท้ายที่สุดสุขภาพดิจิทัล (digital health) จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเสริมสร้างระบบสาธารณสุข เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพ ความเท่าเทียมและการให้บริการที่มีคุณภาพ
บทคัดย่อ
Background: In 2023, Health Intervention and Technology Assessment Program Foundation
(HITAP Foundation) conducted a study on “Recommendations to support the development
of operation and M&E process for telemedicine programme based on lessons learned from
Thailand and the world” under the World Health Organization-Country Cooperation Strategy
(WHO-CCS). The study covered issues related to inputs and activities, specifically the
development and provision of telemedicine, divided into four main components: adoption,
implementation, adaptation, and determinants. It also encompassed issues related to
outputs, such as the quantity and trends in the use of telemedicine services over different
periods. Subsequently, in 2024, to ensure the ongoing support for the development o f
telemedicine services, our research expanded the scope to investigate financial inputs and
activities, such as reimbursement systems for services and unit costs. Additionally, this
current study addressed issues related to outcomes, such as user experiences and impact on
outpatient services. The research questions and the implementation of the research project
were informed by stakeholder consultations and approved by the Steering Committee of the
Convergence of Digital Health Platforms and Health Informa tion Systems (HIS)
Implementation in Thailand (under WHO-CCS).
Objectives: This study comprises three objectives: (1) to investigate the experiences of both
providers and users of telemedicine services regarding acceptance, satisfaction, accessibility,
and usability; (2) to examine the outcomes related to the utilisation of telemedicine services,
including impacts on traditional face-to-face outpatient services; and (3) to assess the
readiness of healthcare facilities to provide telemedicine services, including cost estimation
and the development of policy recommendations for the reimbursement of telemedicine
services.
Methodology: This study employed a mixed-methods research design, incorporating both
qualitative and quantitative studies. The scope of the research covered telemedicine services
for chronic diseases, with some sections focusing specifically on telemedicine services for
non-communicable diseases, mental health disorders, and speech therapy. Data were
collected from a scoping review, in-depth interviews and focus group discussions guided by
semi-structured questions, as well as administrative dataset from reimbursement systems
and healthcare facilities. Qualitative data analysis employed thematic analysis, while
quantitative data analysis utilised descriptive statistics, interrupted time series analysis, and
difference-in-difference estimation, along with unit cost analysis from the perspective of
healthcare providers using activity-based costing.
Results: The findings of this study, based on the experiences of both healthcare providers
and patients, both those who had and had not previously used telemedicine services,
revealed a shared recognition and appreciation of the benefits of such services. The
interviews reported the increased convenience for service users, improved accessibility to
healthcare services, especially for those with mobility issues or living in remote areas, and a
reduced risk of hospital-acquired infections and associated stress. Furthermore, a majority of
those who had prior experience with telemedicine expressed satisfaction with the service
and a willingness to continue using it. However, a notable proportion of participants
expressed concerns regarding the potential for reduced efficacy compared to in -person
consultations. Additionally, all participants identified barriers to accessing and utilising
telemedicine services, including limitations in device availability and internet connectivity,
the suitability of the service delivery channels, and a lack of technological proficiency among
service users.
An analysis of the reimbursement data from the National Health Security Office (NHSO)
covering the period from January 2021 to March 2024 revealed a total of 811,556
telemedicine services involving 426,366 users. The majority of users were female (61%), with
over 50% belonging to the elderly population. Notably, a significant proportion of users
(66%) had only utilised the service once, while 61% of those who returned for subsequent
consultations did so intermittently. The most common indication for telemedicine services
was essential (primary) hypertension (ICD-10 code: I10). Moreover, an analysis of the impact
of the Ministry of Public Health’s telemedicine policy implemented in 2023 indicated a trend
of increased telemedicine consultations; however, this increase was not statistically
significant (Odds Ratio (OR): 2.07, 95% Confidence Interval (CI): 0.91-4.68). Regarding the
impact of the policy on outpatient services, it was observed that the average number of
outpatient consultations decreased by approximately 3,000 visits per month per healthcare
facility.
As for the readiness and reimbursement for telemedicine services, it was found that only
21% of all public healthcare facilities had registered and passed the NHSO's assessment for
the Telehealth/Telemedicine programme (for chronic diseases), while merely 9% of these
facilities reimbursed for telemedicine services. In terms of unit cost estimation, most costs
were attributed to labour costs. The break-even price varied among healthcare facilities,
depending on the resources utilised and their service capabilities. Notably, the service model
in which patients require assistance from a hospital to access telemedicine incurred higher
costs than the model in which patients can receive services independently. When considering
total costs without deducting labour costs, it was observed that the break-even prices of all
sampled healthcare facilities exceeded the current reimbursement rates for telemedicine
services.
Conclusions: Telemedicine is being recognised as a valuable resource for the healthcare
system, both now and in the future. Continuous monitoring and evaluation of service
delivery are essential to support all stakeholders involved, including policymakers, service
providers, and patients, in enhancing acceptance, satisfaction, accessibility, and usability.
Furthermore, policymakers should engage in ongoing discussions regarding the target groups
for telemedicine services and ensure adequate resource allocation to support telemedicine,
particularly in infrastructure such as computers, internet access, and data management
systems. Ultimately, digital health will be a crucial component in strengthening the
healthcare system to achieve goals of efficiency, equity, and quality service delivery.