• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

การประเมินผลกระทบการให้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีในงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ หลังจากดำเนินการมา 30 ปี และความชุกของโรคตับอักเสบ เอ บี และซี ในประเทศไทย

ยง ภู่วรวรรณ; Yong Poovorawan; ณศมน วรรณลภากร; Nasamon Wanlapakorn; พลิตถิยา สินธุเสก; Palittiya Sintusek; ธนัญรัตน์ ทองมี; Thanunrat Thongmee; จิรัชญา พื้นผา; Jiratchaya Puenpa; ภรจริม นิลยนิมิต; Pornjarim Nilyanimit; สิทธิชัย กนกอุดม; Sitthichai Kanokudom; หนึ่งฤทัย สุนทรวงศ์; Nungruthai Suntronwong; ภัทรภร อินทร์มา; Phatharaporn Inma; ปรียาพร วิชัยวัฒนา; Preeyaporn Vichaiwattana; ศิรภา กลิ่นเฟื่อง; Sirapa Klinfueng; ลักขณา วงษ์ศรีสังข์; Lakkhana Wongsrisang; รัชดาวรรณ เอี่ยมจินดา; Ratchadawan Aeemjinda; สุเมธ ก่อกอง; Sumeth Korkong; กิตติยศ ภู่วรวรรณ; Kittiyod Poovorawan; วิชาญ บุญกิตติกร; Wichan Bhunyakitikorn; ชนินันท์ สนธิไชย; Chaninan Sonthichai; ปิยดา อังศุวัชรากร; Piyada Angsuwatcharakon; ปรางณพิชญ์ วิหารทอง; Prangnapitch Wihanthong; ณรงค์ ถวิลวิสาร; Narong Thawinwisan; พิเชษฐ พืดขุนทด; Pichet Puedkuntod; ศันสนีย์ ภัทรศรีวงษ์ชัย; Sunsanee Phattharasrivongchai; ปริชญา หล่อประโคน; Parichaya Loprakhon; สมเจตน์ ชัยเจริญ; Somjet Chaijaroen; พรสวรรค์ มีชิน; Pornsawan Meechin; เฉลิมพล พงษ์พิชิต; Chalermpol Pongpichit; มณฑณา ฟูน้อย; Montana Foonoi; วัชรนันท์ ถิ่นนัยธร; Watcharanan Tinnaitorn; ธวัชชัย ล้วนแก้ว; Thawatchai Luankaew; ศศิธร วิโนทัย; Sasithorn Vinothai;
วันที่: 2568-02
บทคัดย่อ
ไวรัสตับอักเสบเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประชากรโลก สำหรับประเทศไทย ไวรัสตับอักเสบเป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลัน เรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ รวมทั้งเป็นสาเหตุให้เพศชาย พบมะเร็งตับสูงที่สุดในบรรดามะเร็งทั้งหมด ในอดีตที่ผ่านมาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี พบในอัตราที่สูงร้อยละ 6-8 (ค.ศ. 1980) และไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 2 (ค.ศ. 1990) พบว่าสาเหตุการแพร่กระจาย ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารก และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดจากการใช้ของมีคมร่วมกัน การถ่ายเลือดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ในปัจจุบันไวรัสตับอักเสบ บี สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการให้วัคซีนในทารกแรกเกิด ประกอบกับระบบสาธารณสุข และความรู้เรื่องการป้องกัน รวมทั้งมีการตรวจกรองเลือดที่บริจาคทุกหน่วย องค์การอนามัยโลกมีนโยบายการขจัดไวรัสตับอักเสบให้เหลือน้อยที่สุดภายในปี ค.ศ. 2030 และมีการประกาศให้ลดการถ่ายทอดไวรัสตับอักเสบ บี จากมารดาสู่ทารกให้เป็นศูนย์ ประเทศไทยได้รับนโยบายดังกล่าว โดยมีข้อบ่งชี้ว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีในเด็กต่ำกว่า 5 ปี ต้องน้อยกว่าร้อยละ 0.1 รวมทั้งการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 90 และป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ให้ได้มากกว่าร้อยละ 90 ในผู้ที่ติดเชื้อจะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาให้ได้มากกว่าร้อยละ 80 และเมื่อถึงเวลาดังกล่าว อัตราการตายจากโรคที่เกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบต้องลดลงให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 65 จึงเป็นที่มาและเหตุผลในการศึกษาติดตาม การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในประเทศไทย จากข้อมูลของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสตับอักเสบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษามาโดยตลอดทุก 10 ปี ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2004 2014 และการศึกษาในปีนี้ ค.ศ. 2024 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ทราบถึงตัวเลขที่แท้จริงของประเทศไทยในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ บี และซี โครงการนี้จึงได้ทำการศึกษาโดยสุ่มจากประชากร 4 จังหวัดที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาค คือ จังหวัดอุตรดิตถ์ พระนครศรีอยุธยา บุรีรัมย์ และตรัง จังหวัดละ 1,500 คน โดยเลือกจากเขตอำเภอเมือง ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเป็นอำเภอที่อยู่นอกออกไปรวมทั้งชนบท โดยกระจายกำหนดอายุ ตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 80 ปี ตามกลุ่มเป้าหมายที่ได้คำนวณไว้ตามสถิติ โดยมีฐานของการให้วัคซีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา โดยจะทำการตรวจเลือด หา markers ของไวรัสตับอักเสบ บี ได้แก่ HBsAg, anti-HBs และ anti-HBc ไวรัสตับอักเสบ ซี ได้แก่ anti-HCV และ HCVcAg ไวรัสตับอักเสบ เอ ได้แก่ anti HAV IgG โดยใช้ commercial kit วิธี chemiluminescent การวิเคราะห์ข้อมูล อัตราการตรวจพบกระจายตามอายุต่าง ๆ และเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของประชากรไทย เพื่อหาภาพรวมของการติดเชื้อในประเทศไทย ผลการศึกษา ไวรัสตับอักเสบ เอ พบว่าประชากรส่วนใหญ่ ยังไม่มีภูมิต้านทานหรือตรวจไม่พบ anti HAV IgG โดยอายุที่ตรวจพบภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ เอ (anti-HAV IgG) ร้อยละ 50 อยู่ที่อายุ 47 ปี และหลังจากนั้นจะตรวจพบภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ เอเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ แสดงให้เห็นว่าในขณะนี้ประเทศไทยทางด้านระบาดวิทยาจัดอยู่ในประเทศที่เป็น very low endemicity ต่อไวรัสตับ อักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี ได้มีการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและอัตราการครอบคลุมสูงในทารกแรกเกิด ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา ทำให้อุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg) ลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี การติดเชื้อจะพบได้ในส่วนใหญ่ผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป และเมื่อคำนวณภาพรวมของการติดเชื้อทั้งประเทศ อัตราการติดเชื้อจะอยู่ที่ร้อยละ 1.68 นับว่าการติดเชื้อลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับในปี ค.ศ. 2004 (ร้อยละ 4.0) และ ค.ศ. 2014 (ร้อยละ 3.48) ข้อมูลการศึกษายังสนับสนุนด้วยการตรวจพบ anti-HBc ในกลุ่มประชากรที่อายุน้อยพบได้น้อยมาก และประชากรส่วนใหญ่มีภูมิต้านทาน anti-HBs ถึงแม้ว่าภูมิต้านทานจะลดลงตามกาลเวลา แต่ก็ยังสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย ประสบผลสำเร็จในการลดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีจากมารดาสู่ทารกให้เป็นศูนย์ได้เป็นผลสำเร็จ เพราะการตรวจพบการติดเชื้อ HBsAg ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี พบน้อยกว่าร้อยละ 0.1 ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวเลขรายงานให้องค์การอนามัยโลกทราบถึงผลสำเร็จดังกล่าว และนับจากนี้ประเทศไทยก็จะมีแนวโน้มการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีลดลงอย่างมาก เชื่อว่าผู้ป่วยมะเร็งตับที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี ก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ไวรัสตับอักเสบ ซี จากการศึกษาพบว่ามีการลดลงอย่างมาก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 ประชากรไทยมีอัตราการตรวจพบไวรัสตับอักเสบ ซี anti-HCV ร้อยละ 2.15 และลดลงเหลือ ร้อยละ 0.94 ในปี ค.ศ. 2014 และในปี ค.ศ. 2024 การตรวจพบ anti-HCV เหลือเพียงร้อยละ 0.56 หรือประมาณประชากร 363,475 คน แสดงให้เห็นว่าการลดลงของไวรัสตับอักเสบ ซี ได้ลดลงด้วยการพัฒนาด้านระบบสาธารณสุข และการให้ความรู้ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี โดยเฉพาะการใช้ของมีคมร่วมกัน การตรวจกรองในผู้บริจาคโลหิต และในปัจจุบันผู้ที่ตรวจพบไวรัสตับอักเสบ ซี จะเข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำให้มีความมั่นใจว่าไวรัสตับอักเสบ ซีจะเหลือน้อยที่สุด หรือใกล้หมดไปภายในปี ค.ศ. 2030 จากข้อมูลดังกล่าวทั้งหมด จะเป็นข้อมูลการอ้างอิงระดับชาติที่กระทรวงสาธารณสุขนำไปใช้วางแผน และกำหนดนโยบายในการขจัดไวรัสตับอักเสบ รวมทั้งเป็นข้อมูลแสดงถึงความสำเร็จของประเทศไทย ให้นานาชาติ และองค์การอนามัยโลก เห็นความสำเร็จของประเทศไทยในการขจัดไวรัสตับอักเสบในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้รายงานทั้งหมดยังได้เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติ จำนวน 3 เรื่องทั้งไวรัสตับอักเสบ เอ บีและซี

บทคัดย่อ
Hepatitis viruses are a global public health concern. In Thailand, they are a significant issue, causing acute and chronic hepatitis, cirrhosis, and liver cancer, with liver cancer being the most common cancer among Thai males. Historically, hepatitis B infection rates were as high as 6-8% in the 1980s, while hepatitis C was around 2% in the 1990s. Hepatitis B was predominantly transmitted from mother to child, whereas hepatitis C transmission was associated with shared sharp instruments and blood transfusions. Today, hepatitis B infection can be effectively prevented through neonatal vaccination, supported by a robust healthcare system, public awareness, and universal blood screening. The World Health Organization (WHO) has set a goal to eliminate hepatitis by 2030, with targets including zero mother-to-child transmission of hepatitis B, an infection rate of less than 0.1% in children under five, screening coverage of at least 90%, prevention of over 90% of new infections, and treatment access for more than 80% of infected individuals. Mortality related to hepatitis should also decline by at least 65%. This study aims to monitor hepatitis virus infections in Thailand, utilizing data from the Chulalongkorn Hepatitis Center, which has conducted surveys every decade since 2004. The 2024 survey focuses on the prevalence of hepatitis A, B, and C infections, using data from four representative provinces: Uttaradit, Phra Nakhon Si Ayutthaya, Buriram, and Trang, with 1,500 participants from each province. Participants were selected from urban and rural areas, covering ages from six months to 80 years, based on statistical sampling reflecting vaccination programs initiated in 1992. Blood samples were tested for hepatitis markers using commercial chemiluminescent kits. These included HBsAg, anti-HBs, and anti-HBc for hepatitis B; anti-HCV and HCV core antigen for hepatitis C; and anti-HAV IgG for hepatitis A. The findings were analyzed for agespecific prevalence and compared with national data to determine infection rates across Thailand. Hepatitis A: Most of the population lacks immunity (anti-HAV IgG). The median age for acquiring immunity is 47 years. This positions Thailand as a very low endemicity country for hepatitis A. Hepatitis B: Since introducing effective vaccines in 1992, the prevalence of HBsAg has significantly decreased, particularly in individuals under 30. The national infection rate is now 1.16%, a substantial decline from previous surveys in 2004 (4.0% and (3.48%). Anti-HBc prevalence among younger populations is minimal, and most individuals have protective anti-HBs antibodies. The successful elimination of mother-to-child transmission is evident, with HBsAg rates in children under five below 0.1%, meeting WHO targets. This achievement predicts a decline in hepatitis B-related liver cancer. Hepatitis C: Infection rates have declined markedly, with anti-HCV prevalence dropping from previous rates to 0.94% in 2014 and further to 0.56% in 2024, representing approximately 363,475 individuals. This reduction is attributed to enhanced healthcare systems, public education, and blood screening. Current treatments offer high cure rates, suggesting that hepatitis C may be nearly eliminated by 2030. The findings provide critical national data for planning hepatitis elimination strategies and highlight Thailand’s success in combating hepatitis over the past 30 years. These results have been disseminated in three international high impact journal publications addressing hepatitis A, B, and C.
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs3241.pdf
ขนาด: 3.118Mb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 1
ปีงบประมาณนี้: 18
ปีพุทธศักราชนี้: 18
รวมทั้งหมด: 18
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Research Reports [2478]

    งานวิจัย

ชิ้นงานที่เกี่ยวข้อง

แสดงชิ้นที่เกี่ยวข้องโดย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ผู้สร้าง และหัวเรื่อง

  • ผลระยะยาวของการให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี เมื่อแรกเกิด และวัคซีนรวมที่มีวัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ด้วย ในเด็กอายุ 2, 4, 6 และ 18 เดือน ศึกษาในเด็กอายุ 4 และ 5 ปี และการศึกษาระดับภูมิต้านทานและการตอบสนองของภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ บี หลังให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี เมื่อแรกเกิด และวัคซีนรวม DTPw-HiB-HB+OPV ที่ 2, 4, 6 เดือน ในแผนการให้วัคซีนแห่งชาติ 

    ยง ภู่วรวรรณ; Yong Poovorawan; ณศมน วรรณลภากร; Nasamon Wanlapakorn; นภา พฤฒารัตน์; Napa Pruetarat; นวรัตน์ โพธิ์สุวรรณ; Nawarat Posuwan; สมพงษ์ วงษ์พันสวัสดิ์; Sompong Vongpunsawad; พรศักดิ์ อยู่เจริญ; Pornsak Yoocharoen; กาญจนา พันธุ์พานิช; Kanchana Phanphanit (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2565-07)
    ประเทศไทยเริ่มให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี แก่เด็กแรกเกิดทั่วทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2535 และต่อมาก็มีการปรับเปลี่ยนตารางการให้วัคซีนแก่เด็กและในอนาคตองค์การอนามัยโลกจะยกเลิกการให้วัคซีนโปลีโอแบบหยอดเป็นแบบฉีด ...
  • การสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขของการใช้ยาชีววัตถุและยาสังเคราะห์มุ่งเป้าต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคในการรักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่มีภาวะการอักเสบมาก 

    พัทธรา ลีฬหวรงค์; Pattara Leelahavarong; ทรงยศ พิลาสันต์; Songyot Pilasant; จุฑามาศ พราวแจ้ง; Juthamas Prawjaeng; ชลทิชา จันทร์แจ่ม; Chonticha Chanjam; ณัฐกานต์ บุตราช; Nuttakarn Budtarad; วันรัชดา คัชมาตย์; Wanruchda Katchamart; พงศ์ธร ณรงค์ฤกษ์นาวิน; Pongthorn Narongroeknawin; ทัศนีย์ กิตอำนวยพงษ์; Tasanee Kitumnuaypong (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2564-02)
    วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และวิเคราะห์ผลกระทบด้านงบประมาณของยาต้านรูมาติกที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค (disease-modifying anti-rheumatic drugs; DMARDs) ในกลุ่มยาชีววัตถุ (biologic DMARDs; bDMARDs) ...
  • ข้อเสนอการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้นและชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังในการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้และโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ร่วมกับโรคหืดในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 

    ประยุทธ ภูวรัตนาวิวิธ; Prayuth Poowaruttanawiwit; ชนิดา จันทร์ทิม; Chanida Chantim; ไกลตา ศรีสิงห์; Klaita Srisingh (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2566-06)
    การระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อระบบการรักษาพยาบาลและทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ยากมากขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและส่งผลกระทบต่อสังคมในภาพรวม บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความสำคัญที่จะต ...

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [620]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [100]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [286]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [126]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [159]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1288]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [229]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [21]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV