• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

การพัฒนารูปแบบระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิแบบมุ่งเน้นคุณค่าในกลุ่มเด็กวัยเรียนในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่

รักชนก นุชพ่วง; Rakchanok Noochpoung; อัมพร เดชพิทักษ์; Amporn Detpithak; ปิยพร เสาร์สาร; Piyaporn Saosarn; ปิยะนารถ จาติเกตุ; Piyanart Chatiketu; อารีรัตน์ นิรันต์สิทธิรัชต์; Areerat Nirunsittirat; ทิฆัมพร มะลิซ้อน; Thikumpond Malison; นันทิยา เสถียรวุฒิวงศ์; Nantiya Sathienvuttiwong;
วันที่: 2568-09
บทคัดย่อ
จากปัญหาโรคฟันผุในกลุ่มเด็กวัยเรียนยังคงมีความชุกสูง แนวคิดการพัฒนาระบบบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่าโดยมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ (Value-based oral healthcare) จึงได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป้าหมายในการพัฒนารูปแบบบริการให้มีคุณภาพ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ แบบมุ่งเน้นคุณค่าในกลุ่มเด็กวัยเรียน โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Action research) ในโรงเรียน 6 แห่ง ในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ในปีการศึกษา 2566 – 2567 โดยแบ่งโรงเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปฏิบัติการและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มปฏิบัติการได้ร่วมพัฒนาระบบบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า นักเรียนชั้น ป.1 – 6 จำนวน 2,571 คน ได้รับการตรวจสุขภาพช่องปาก และนักเรียนชั้น ป. 4 – 6 จำนวน 1,207 คน ได้รับการสัมภาษณ์ตามแบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพ ความรอบรู้และการรับรู้ด้านสุขภาพช่องปากของตนเอง และวิเคราะห์ต้นทุนค่าบริการทางตรงจากข้อมูลค่าแรง ค่าวัสดุและผลงานการจัดบริการฯ ในปีงบประมาณ 2566 ผลการศึกษาพบว่าในการจัดบริการสุขภาพช่องปากนักเรียนได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ นักเรียนกลุ่มที่ไม่มีฟันผุ กลุ่มที่ฟันผุน้อย (1 - 3 ซี่) และกลุ่มที่มีฟันผุมาก (4 ซี่ขึ้นไป) และมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วนเพื่อจัดบริการทันตกรรมรักษาและป้องกันตามความจำเป็นในแต่ละกลุ่ม ผลการประเมินพบว่านักเรียนในกลุ่มปฏิบัติการบริการฯ มี Cavity free เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบก่อนการพัฒนาระบบบริการ และพบว่ากลุ่มปฏิบัติการฯ และกลุ่มเปรียบเทียบนักเรียนป.1 - 6 มี Cavity free ร้อยละ 90.6 และ 45.0 ตามลำดับ และพบว่าร้อยละการเพิ่มขึ้นของฟันผุ (ทั้งฟันแท้และฟันน้ำนม) ในกลุ่มปฏิบัติการแตกต่างกับกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเพิ่มขึ้นของฟันผุในกลุ่มปฏิบัติการและกลุ่มเปรียบเทียบคิดเป็นร้อยละ 21.5 และ 26.5 ตามลำดับ ในส่วนพฤติกรรมพบว่านักเรียนในกลุ่มปฏิบัติการมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากและโภชนาการที่ดีขึ้น ได้แก่ การมีจำนวนนักเรียนที่มีการแปรงฟันหลังอาหารกลางวัน การแปรงนาน 2 นาทีและการงดอาหารหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น และการบริโภคน้ำอัดลมและลูกอมลดลง นอกจากนี้นักเรียนกลุ่มปฏิบัติการพบมีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากมากกว่าร้อยละ 80 เพิ่มขึ้น และการรับรู้ด้านสุขภาพช่องปาก ประเด็นการไม่อยากยิ้มเพราะลักษณะฟัน พบกลุ่มปฏิบัติการมีการปรับปรุงดีกว่ากลุ่มควบคุม 3 เท่า ในส่วนต้นทุนการจัดบริการพบว่ากลุ่มปฏิบัติการประหยัดต้นทุนมากกว่าโดยกลุ่มปฏิบัติการและกลุ่มควบคุมมีต้นทุนบริการต่อนักเรียน 1 คน ลดลง 42.56 บาท และ 15.86 บาท ตามลำดับ และกลุ่มปฏิบัติการมีต้นทุนประสิทธิผลที่ดีกว่าโดยกลุ่มปฏิบัติการสามารถประหยัดต้นทุนร้อยละ 9.6 เพื่อให้เกิด Cavity free เพิ่มร้อยละ 45.6 ในขณะที่กลุ่มควบคุมประหยัดต้นทุนได้ร้อยละ 3.5 และมี Cavity free เพิ่มเพียงร้อยละ 2.6 จากการศึกษาสรุปได้ว่ารูปแบบการจัดบริการการดูแลสุขภาพช่องปากนักเรียนแบบมุ่งเน้นคุณค่าที่พัฒนาขึ้นโดยการมีส่วนร่วมของทีมเครือข่ายบริการสุขภาพ และทีมโรงเรียนในอำเภอหางดง มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ด้านสุขภาพช่องปากที่ดีสำหรับนักเรียน จึงควรพัฒนาและขยายพื้นที่ดำเนินการต่อไป

บทคัดย่อ
Considering the significant incidence of dental caries in primary school children, the concept of Value-based oral healthcare, which focuses on outcomes, has been implemented to improve the quality-of-service models. This study aims to develop a value-based primary oral healthcare service system model for school - children using participatory action research methods in six schools in Hang Dong District, Chiang Mai Province, during the 2023 - 2024 academic year. The schools were divided into two groups: an intervention group and a control group. The intervention group co-developed a value-based healthcare system with the students in grade 1 – 6, totaling 2,571, received oral health examination. Additionally, 1,207 students from grades 4-6 were interviewed using a questionnaire to assess their oral health behaviors, knowledge, and self-perception. The direct costs were analyzed based on labor costs, materials, and service delivery data from the 2023 fiscal year. The study shows that students receiving oral health services were categorized into three groups: those without cavities, those with a limited number of cavities (1-3 teeth), and those with numerous cavities (4 or more teeth) need immediate treatment. The evaluation results indicated an increase in cavity-free students within the service intervention group following the implementation of appropriate dental treatment and preventative services. The service intervention group of primary school students in grades 1-6 exhibited a cavity-free rate of 90.6%, while the comparison group demonstrated a rate of 45.0%. The increase in caries, encompassing both permanent and deciduous teeth, in the intervention group was significantly different from that in the control group. The rise in dental caries in the intervention and control groups was 21.5% and 26.5%, respectively. It was found that students in the intervention group had improved oral health and nutritional behaviors, including an increased number of students who brushed their teeth after lunch, brushed for 2 minutes, and refrained from eating for 2 hours after brushing. Additionally, the consumption of soft drinks and candy decreased. Furthermore, students in the intervention group had a higher percentage of oral health literacy scores above 80% and improved oral health perceptions. Regarding the issue of not wanting to smile due to tooth appearance, the intervention group showed three times better improvement than the control group. In terms of service costs, the intervention group was more cost - effective. The service cost per student for the intervention and control groups decreased by 42.56 and 15.86 baht, respectively. The intervention group also had better cost-effectiveness, saving 9.6% to achieve a 45.6% increase in cavity-free status, while the control group saved only 3.5% and had a cavity-free increase of only 2.6%. The study concluded that the value-based oral health care model which developing thru the participation of health service network teams and school teams in Hang Dong district is highly effective, leading to positive oral health outcomes for students. Therefore, it is necessary to continue developing and expanding the operational area.
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs3310.pdf
ขนาด: 4.153Mb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 1
ปีงบประมาณนี้: 1
ปีพุทธศักราชนี้: 1
รวมทั้งหมด: 1
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Research Reports [2519]

    งานวิจัย

ชิ้นงานที่เกี่ยวข้อง

แสดงชิ้นที่เกี่ยวข้องโดย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ผู้สร้าง และหัวเรื่อง

  • การประเมินศักยภาพของระบบสุขภาพในความพร้อมรับมือการระบาดโรค COVID-19 ในพื้นที่ชายแดน จังหวัดเชียงราย 

    อนุสรณ์ อุดปล้อง; Anusorn Udplong; ธวัชชัย อภิเดชกุล; Tawatchai Apidechkul; ฟาติมา ยีหมาด; Fartima Yeemard (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2565-10)
    การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพของบุคลากรและระบบสุขภาพในการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19 ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดเชียงราย คือ ...
  • การเปรียบเทียบสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติระหว่างคู่สัญญาบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย 

    นภชา สิงห์วีรธรรม; Noppcha Singweratham; ตวงรัตน์ โพธะ; Tuangrat Phodha; วิน เตชะเคหะกิจ; Win Techakehakij; ธีระศักดิ์ วงศ์ใหญ่; Dherasak Wongyai; อำพล บุญเพียร; Aumpol Bunpean; พัลลภ เซียวชัยสกุล; Pallop Siewchaisakul (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2565-12)
    การถ่ายโอนภารกิจด้านการให้บริการปฐมภูมิที่อยู่กับสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำให้เกิดความเป็นธรรม ความเสมอภาคและเท่าเทียม ...
  • การพัฒนาแบบจำลองทำนายความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในประเทศไทยเพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อระบบหลักประกันสุขภาพและระบบสุขภาพ 

    ปิยะ หาญวรวงศ์ชัย; Piya Hanvoravongchai; เสกสรร เกียรติสุไพบูลย์; Seksan Kiatsupaibul; วิฐรา พึ่งพาพงศ์; Vitara Pungpapong; อรลักษณ์ พัฒนาประทีป; Oraluck Pattanaprateep; มนทรัตม์ ถาวรเจริญทรัพย์; Montarat Thavorncharoensap; วศิน เลาหวินิจ; Wasin Laohavinij; จิดาภา หาญวรวงศ์ชัย; Jidapa Hanvoravongchai (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2566-10)
    โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างแบบจำลองทำนายความเสี่ยง 2 แบบจำลองหลัก คือ 1.1 แบบจำลองทำนายความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในประชากรทั่วไป และ 1.2 แบบจำลองทำนายความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสีย ...

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [630]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [102]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [287]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [128]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [162]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1320]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [233]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [21]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV