• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

การเฝ้าระวังการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชนอายุตำกว่า 18 ปีโดยอาสาสมัคร ครู ร้านค้าบุหรี่และผู้นำในชุมชนจังหวัดหนองคายปี 2541

บัน ยีรัมย์; Ban Yeeram; กัญญภัทร์ ยีรัมย์; วรสิทธิ์ อินธิศักด์;
วันที่: 2542
บทคัดย่อ
การเฝ้าระวังการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชนอายุตำกว่า 18 ปี โดยอาสาสมัคร ครู ร้านค้าบุหรี่ และผู้นำชุมชนในจังหวัดหนองคายปี 2541 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ในพื้นที่ 5 หมู่บ้านของ ต.เซิม อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบการเฝ้าระวังและรณรงค์ไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าถึงบุหรี่ ดำเนินงาน 3 ระยะ คือ ระยะแรกสำรวจความคิดเห็นของอสม., ครู, เจ้าของร้านค้าบุหรี่, สมาชิก อบต., เจ้าอาวาสวัด,ตำรวจและนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อหาปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ ระยะที่ 2 จะประชุมระดมความคิดกลุ่มเหล่านี้(ยกเว้นกลุ่มนักเรียน) เพื่อหารูปแบบการเฝ้าระวังและรณรงค์ จากนั้นจะดำเนินการจริงตามที่ตกลงในที่ประชุม ระยะที่ 3 ประเมินผลการเฝ้าระวังและรณรงค์ดังกล่าว ผลการดำเนินงานพบว่า ปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ คือ ไม่ทราบโทษของบุหรี่ โดยนักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับโทษพิษภัยของบุหรี่และกฎหมายที่เกี่ยวข้องระดับปานกลางเป็นส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6, ไม่ทราบกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ โดย อสม., ครู, เจ้าของร้านค้าบุหรี่, สมาชิก อบต., เจ้าอาวาสวัด,ตำรวจและนักเรียน ทราบว่ามีกฎหมายดังกล่าวออกมาบังคับใช้แล้วเพียงร้อยละ 61.5, 62.5, 78.9, 66.7, 33.3, 61.9 และ 67.2 ตามลำดับ นักเรียนเคยซื้อบุหรี่ถึงร้อยละ 79.4 สาเหตุอื่นที่ทำให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่คือ อยากลอง, ครอบครัวมีปัญหา,สูบตามผู้ใหญ่,ไม่มีกิจกรรมนันทนาการ,ไม่มีองค์กรในท้องถิ่นที่ทำหน้าที่รณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่อย่างจริงจัง,อิทธิพลจากเพื่อน มีกิจกรรมเฝ้าระวังและรณรงค์ดังนี้ คือ การให้ความรู้เรื่องโรคและโทษพิษภัยของบุหรี่โดย ติดตั้งป้ายผ้า, ติดตั้งป้าย “ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี มาซื้อบุหรี่” ที่ร้านค้าบุหรี่ทุกร้าน, แจกแผ่นพับความรู้เกี่ยวกับบุหรี่, ทำสปอตเปิดทางหอกระจายข่าว, ตั้งองค์กรท้องถิ่นขึ้น 3 ชมรม คือ ชมรมเพื่อการไม่สูบบุหรี่ตำบลเซิม ชมรมร้านค้าต้านภัยบุหรี่ ชมรมปอดสะอาดโรงเรียนเซิมพิทยาคม, จัดทำลานกีฬาในวัด ลานกีฬาในโรงเรียน จัดงานลานกีฬา ลานใจ ต้านภัยยาเสพติด, จัดประกวดห้องเรียนปลอดคนสูบบุหรี่ จัดประกวดนักเรียนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่สูบบุหรี่ จัดประกวดภาพวาดรณรงค์ต่อต้านบุหรี่,จัดเทศน์เรื่องโทษของบุหรี่ทุกวันพระ จัดพิธีสาบานตนไม่เกียวข้องกับบุหรี่ รวม 216 คน, ตำรวจตรวจสอบร้านค้าเดือนละ 1 ครั้ง,อบต.ตั้งงบประมาณสนับสนุนการรณรงค์ทุกปี ผลจากการเฝ้าระวังพบว่า นักเรียนทราบกฎหมายบุหรี่เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 26.2 เป็นร้อยละ 44.1 อัตราการสูบบุหรี่ลดลงจากเดิมร้อยละ 31.1 เป็นร้อยละ 20.9 มีผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ในระหว่างโครงการ คิดเป็นอัตราการเลิกสูบร้อยละ 42.5 พฤติกรรมการซื้อบุหรี่ลดลงจากเดิมร้อยละ 79.4 เป็นร้อยละ 45.6 อัตราการสูบบุหรี่ของประชาชนทั่วไปร้อยละ 27.0 เคยสูบแต่เลิกสูบร้อยละ 19.5 รูปแบบและวิธีการรณรงค์เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ในครั้งนี้ มาจากบุคคลที่อยู่ในพื้นที่จริง ๆ ไม่ใช่เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยคิดขึ้นมา ดังนั้นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงเป็นความสำเร็จที่เกิดจากชุมชนเอง ความต่อเนื่องของโครงการ คงต้องมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่องต่อไป

บทคัดย่อ
A survey on antismoking law compliance in Nongkhai municipal area This quasi-experimental study aimed to find a local preventive-smoking model for the younger group of under 18 year-old. The study was done in 5 villages at Serm Sub-district Ponpisai District, Nongkhai Province, Thailand. Three study-stages was organized; (i) surveying the locals’ altitude (including the group of under 18 year-old), as to search critical smoking accessibility factor, (ii) establishing a meeting(excluding the 18 year-old group) as to achieve a collectively smoking prevention model, and lastly(iii)evaluating such that proposed model. The survey results showed the critical smoking accessibility factor was “no hazard understanding”. Only 60.6 % of the younger understood health hazard and related smoking prohibited law. The health volunteers, teachers, cigarette retailers sub-district members, abbots, polices and students knew new-enforcement smoking law and regulation by only 61.5 %, 62.5 %, 78.9 %, 66.7 %, 33.3 %, 61.9 % and 67.2 % respectively. The result also showed 79.4 % of the students used to buy cigarette. Other smoking accessibility factors were “new try”, broken home, elder-like smoking, no recreation activity available, no rigorous no-smoking campaigns done by local institutions, and lastly, influential from friends. The no-smoking campaigns introduced by the study were through education mediums as smoking causing health-hazards. These were distributed via several means. Such those non-smoking campaigns included “the 18 year-old prohibited” signs adhered at the cigarette shops, leaflet, radio spots, local anti-smoking clubs, playground sport arrangement, healthy student for not smoking competitions, no-smoking classrooms, smoking-hazards warning delivered by abbots, 216 students swore for not smoking, monthly cigarette shops’ inspection by polices and yearly budget put forward for no-smoking campaigns by sub-district administrative offices. The achievement by the study campaigns could have the more number of students getting to know the non-smoking law increased from 26.6% to 44.1%. The smoking rate reduced from 31.1% to 20.9%. Persons who gave up smoking during the campaign project were 42.5%, and buying cigarette habits decreased from 79.4% to 45.6%. General public smoking rate from 27.0% could reduce to finally quit of smoking 19.5%. The model applied by this study was genuinely from grass-root initiatives, any achievements was then originated from community-based practice. On-going activities following the model applied remained next to be evaluated.
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs0559.PDF
ขนาด: 3.979Mb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 0
ปีงบประมาณนี้: 0
ปีพุทธศักราชนี้: 0
รวมทั้งหมด: 126
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Research Reports [2471]

    งานวิจัย


DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [619]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [99]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [286]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [125]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [159]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1283]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [228]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [20]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV