บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ เพื่อรวบรวมวรรณกรรมองค์ความรู้ประสบการณ์ในกระบวนการกำหนดรูปแบบและดำเนินการนโยบายสุนัขนักบําบัด สำหรับจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายและทางเลือกที่ผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง วิธีการศึกษาโดยการทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต สัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 35 คน โดยเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) ประกอบด้วย ระดับผู้กำหนดนโยบาย (5 คน) ระดับการจัดการจากผู้ที่มีประสบการณ์ในการให้บริการและรับบริการสุนัขนักบําบัด (25 คน) นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง (5 คน) โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้างและครอบคลุมประเด็นที่ปรับตามกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์ และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายโดยการสนทนากลุ่มผู้เกี่ยวข้องกลุ่มละ 8-10 คน รวมทั้งสิ้น 61 คน ประกอบด้วยกลุ่มผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย รวม 30 คน กลุ่มวิชาชีพ/เจ้าหน้าที่/ผู้ป่วยโรงพยาบาล 21 คน และกลุ่มผู้กำหนดนโยบาย/วิชาการ 10 คน การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขตที่สืบค้นบทความวิจัยจากฐานวารสารวิชาการที่ตีพิมพ์เผยแพร่ย้อนหลัง 10 ปี ด้วยวิธีการคัดเลือกอย่างเป็นระบบ (Systematic search) พบว่านโยบาย Animal-Assisted Therapy (AAT) นั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายกลุ่ม (Actors) ตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เช่น องค์กรดูแลสัตว์บําบัด ผู้ดูแลสัตว์บําบัด สัตวแพทย์ ไปจนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานพยาบาล ผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัย และผู้ป่วย/ผู้รับบริการ ซึ่งมีนโยบายในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ/นานาชาติ ระดับองค์กร/สถาบัน และระดับโครงการ ครอบคลุมระเบียบและข้อบังคับด้านสุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์ (animal welfare) การคัดเลือกและการฝึกอบรมสัตว์และผู้ดูแล การควบคุมการติดเชื้อ บทบาทความรับผิดชอบ และการยินยอม รวมถึงให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง และการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม เพื่อให้การดําเนินงาน AAT มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่าผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าสุนัขบําบัดมีศักยภาพในการช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตใจ โดยเฉพาะผู้มีภาวะซึมเศร้าและขาดกําลังใจ รวมถึงผู้ป่วยในสถานพยาบาลและบ้านพักคนชรา โดยมองว่าเป็นกิจกรรมบําบัดที่ช่วยลดความกังวลและคลายเครียด สถานที่ที่เหมาะสมในการเริ่มต้นคือโรงพยาบาล เนื่องจากมีความพร้อมด้านบุคลากรและสถานที่ แม้ว่าจะมีสุนัขจำนวนมากในไทย แต่ยังขาดสุนัขที่มีคุณสมบัติพร้อมสำหรับการบําบัด การกำหนดมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการมีผู้เชี่ยวชาญที่มีใจรักสัตว์และมีจรรยาบรรณ ต้นทุนในการดำเนินการและการฝึกอบรมสุนัขค่อนข้างสูง แต่มีความหวังในการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน การประเมินประสิทธิผลเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและพฤติกรรมของผู้ป่วย การสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การมีนโยบายรองรับ และการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจําเป็นเพื่อให้โครงการยั่งยืน นอกจากนี้ การประเมินสุขภาพจิตของผู้ป่วยก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ และการมีบุคลากรเฉพาะทาง เช่น นักจิตวิทยาและสัตวแพทย์ เป็นสิ่งที่ผู้ให้ข้อมูลให้ความสำคัญ จากข้อมูลสนทนากลุ่มผู้เกี่ยวข้อง สนับสนุนทางเลือกข้อเสนอที่สำคัญมี 2 นโยบาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถานพยาบาล และสถานบําบัดดูแลต่าง ๆ ได้แก่ 1) นโยบายสุนัขกิจกรรมบําบัด/นันทนาการ (Recreational group activity) นันทนาการผ่อนคลายลดเครียดเสริม (ระหว่างรอรับบริการ) สมาธิ กระตุ้นการเคลื่อนไหว การสื่อสาร เพลิดเพลิน เป้าหมาย ผู้รอรับบริการญาติที่มุ่งสนใจสุขภาพจิต/สังคม/ใจ มีเงื่อนไข ต้องจัดเตรียมสถานที่สภาพแวดล้อม ต้องฝึกสุนัข เบื้องต้นให้อยู่กับผู้คนจำนวนมากได้ ไม่ตื่นตระหนกง่าย และ 2) นโยบายสุนัขนักบําบัดช่วยเหลือสนับสนุนในการรักษา/ดูแล (Dogassisted Therapy: DAT) เสริมการดูและรักษา (complementary therapy) ลดความเครียด/วิตกกังวล ฝึกการเคลื่อนไหว/สื่อสาร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ฝึกวินัยความรับผิดชอบ เป้าหมายเป็นผู้ป่วยในสถานพยาบาลทั่วไป/สถานที่พักฟื้น ผู้สูงอายุในศูนย์ดูแล บําบัดยาเสพติด ผู้ต้องขัง โดยมีรูปแบบบริการจัดให้มีสุนัขเยี่ยมตามวอร์ดในโรงพยาบาลหรือมอบหน้าที่ร่วมรับผิดชอบดูแลสุนัข ผู้ต้องขัง พักฟื้น (เงื่อนไขสำคัญต้องจัดการสภาพแวดล้อม ทั้งสุนัขและคน) การเลือกสายพันธุ์ ต้องอบรมฝึกทักษะสุนัขตามบทบาทหน้าที่ การสร้างมาตรฐานการรักษาดูแล โดย สปสช.และที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนงบประมาณการดูแลสุนัขและกิจกรรมเสริมการรักษา และทางเลือกสนับสนุนผ่านองค์กรภาคประชาชนร่วมสนับสนุนบริการ (มาตรา 3) ทั้งนี้ 2 นโยบายข้างต้น สปสช. ที่จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย มีขั้นตอนการประกาศให้ DAT เป็นชุดสิทธิประโยชน์ประเภทบริการ และมีมาตรฐานบริการ การประกาศกำหนด DAT ให้องค์กรภาคประชาชน เป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่นตาม ม.3 การเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชนในการร่วมจัดบริการ (ต้องจัดการสภาพแวดล้อม ทั้ง dog friendly และคน) การเตรียมอบรม special trained และเตรียมการ monitoring & assessment รวมทั้ง ศึกษา effectiveness ของบริบทไทย (ใช้บางพื้นที่นําร่องเป็นงานวิจัยเชิงทดลอง) นอกจากนี้อีกหนึ่งทางเลือกนโยบาย 3 และ 4 ที่ผู้เกี่ยวข้องกล่าวถึงคือ 3) นโยบายสนับสนุนการมีสัตว์เลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อน (Companion Dog) และ 4) สุนัขช่วยเหลือบุคคล (เจ้าของ) ที่มีข้อจํากัดทางแพทย์/กายภาพ (Assistance Dog) ข้อเสนอเชิงนโยบายจากการศึกษานี้ได้เสนอและนำสู่การกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายตามกรอบขั้นตอนการพัฒนานโยบาย เช่น ได้นําเสนอต่อคณะทำงานสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งและบทบาทของเครือข่ายผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2568 วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568 แล้ว และจะนําเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอเชิงนโยบายนี้ในกลไกอื่น ๆ ต่อไป
บทคัดย่อ
This research aimed to collect comprehensive knowledge and experiences regarding the
formulation of policies for therapy dogs. The objective was to prepare detailed policy proposals
and alternatives by using a scoping literature review and in-depth interviews with 35 experts, as
well as group discussions with 61 stakeholders, including patients, hospital staff, and
policymakers.
The research found that Animal-Assisted Therapy (AAT) policies involve various parties,
from direct practitioners to healthcare facilities and policymakers, and cover regulations on animal
welfare, training, infection control, and budget allocation. Interviews with experts highlighted the
significant potential of therapy dogs to assist patients psychologically, particularly those with
depression, and to help reduce anxiety and stress. They identified hospitals as the ideal starting
point due to their readiness. However, a key challenge is the lack of qualified therapy dogs in
Thailand, despite the large dog population. This underscores the need for clear standards, quality
control, and expert personnel. The high cost of operations and training was also identified as a
significant factor.
Based on the stakeholder discussions, two primary policy proposals were developed, with
a focus on implementation through the National Health Security Office (NHSO):
1. Recreational Dog Policy: This proposal suggests using dogs for recreational activities
to help people relax and reduce stress while waiting for services.
2. Therapy Dog Policy (Dog-Assisted Therapy: DAT): This policy would position dogs as
a complementary therapy to support treatment and care. It would help reduce anxiety, improve
communication, and instill discipline, targeting patients in general medical facilities, rehabilitation
centers, and care facilities for the elderly or drug addicts.
The study proposes that the NHSO should play a key role in driving these policies by
declaring DAT a type of service in its benefit package and establishing service standards. This
would also involve strengthening the public sector's ability to co-manage services and supporting
civil society organizations as public health service providers.
Additionally, other policy alternatives, such as a Companion Dog Policy for emotional
support and an Assistance Dog Policy for individuals with physical limitations, were also
mentioned.
The policy proposals from this study have already been presented to the Working Group
for patient networks in the National Health Security System and will be presented to other relevant
agencies in the future to further advance the adoption of these policies.