แสดงรายการชิ้นงานแบบง่าย

การพัฒนารูปแบบบริการชีวาภิบาลวาระสุดท้ายของชีวิตที่บ้านและชุมชน พื้นที่ถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรณีจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดขอนแก่น

dc.contributor.authorศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัยth_TH
dc.contributor.authorSupasit Pannarunothaith_TH
dc.contributor.authorพันธิตรา สิงห์เขียวth_TH
dc.contributor.authorPantitra Singkheawth_TH
dc.contributor.authorอรรถกร รักษาสัตย์th_TH
dc.contributor.authorAttakorn Raksasatayath_TH
dc.contributor.authorระวิวรรณ สิงห์ป้องth_TH
dc.contributor.authorRawiwan Singpongth_TH
dc.contributor.authorวริศรา ตั้งตระกูลth_TH
dc.contributor.authorVaritsara Tangtrakulth_TH
dc.contributor.authorสิริลักขณา พระวงศ์th_TH
dc.contributor.authorSirilakkhana Phrawongth_TH
dc.contributor.authorศิลา โทนบุตรth_TH
dc.contributor.authorSila Tonbootth_TH
dc.date.accessioned2025-10-06T09:15:54Z
dc.date.available2025-10-06T09:15:54Z
dc.date.issued2568-10
dc.identifier.otherhs3313
dc.identifier.urihttp://hdl.handle.net/11228/6353
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบสุขภาพไทยในยุคสังคมผู้สูงอายุ โดยมุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบการจัดบริการชีวาภิบาลในระยะสุดท้ายของชีวิตที่บ้านและในชุมชน ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่ต้องการใช้วาระสุดท้ายของชีวิตในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยและอบอุ่นโดยมีวัตถุประสงค์คือ 1) การจัดทำข้อเสนอการพัฒนารูปแบบการจัดบริการชีวาภิบาลในระยะสุดท้ายของชีวิตที่บ้านและในชุมชนในระยะเปลี่ยนผ่านการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2) การพัฒนาต้นแบบการจัดบริการชีวาภิบาลในระยะสุดท้ายของชีวิตที่บ้านและในชุมชนในช่วงการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าว การวิจัยนี้เป็น Implementation Research ที่ใช้การวิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็นหลัก โดยใช้กรอบแนวคิด Generic Implementation Research ดำเนินการใน 2 จังหวัด คือ พิษณุโลกและขอนแก่น ครอบคลุมโรงพยาบาลหลัก 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพุทธชินราช โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร และโรงพยาบาลเนินมะปราง โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โรงพยาบาลอุบลรัตน์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยครอบครัวหรือครัวเรือนของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้ายของชีวิตที่เข้าร่วมโครงการ และหน่วยงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับระบบการดูแลระยะท้ายของชีวิตทุกหน่วยงาน การเก็บข้อมูลใช้วิธีการหลากหลาย ทั้งการสัมภาษณ์เชิงลึก การประชุมกลุ่ม การสังเกตการณ์ และการใช้แบบประเมิน FAMCARE-EOL ที่ปรับปรุงจากแบบประเมิน FAMCARE มาตรฐาน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นความรุดหน้าด้านการพัฒนารูปแบบการจัดบริการชีวาภิบาลในชุมชนที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทไทย การประเมินผลด้วยแบบประเมิน FAMCARE-EOL พบว่าครอบครัวผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อการดูแลในระดับสูงทั้งในจังหวัดพิษณุโลกและขอนแก่น โดยค่าเฉลี่ยในทุกมิติอยู่ระหว่าง 4.6-4.9 จาก 5 คะแนน ในด้านการพัฒนาเครือข่ายชุมชน พบว่าการมีส่วนร่วมของหน่วยงานต่าง ๆ มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการประสานงานระหว่างโรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ยังพบความท้าทายในเรื่องการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณ อุบลรัตน์โมเดลเป็นนวัตกรรมที่โดดเด่นที่สุดจากการวิจัยครั้งนี้ โดยเป็นระบบการจ้างนักบริบาลชุมชนเต็มเวลาด้วยเงินทุนจากการบริจาคภาคเอกชน ซึ่งทำงานภายใต้การกำกับของโรงพยาบาลชุมชน นักบริบาลเหล่านี้ได้รับค่าตอบแทน 6,000-7,000 บาทต่อเดือน และทำงานทุกวันจันทร์ถึงเสาร์ ผลลัพธ์ของอุบลรัตน์โมเดลแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ชัดเจน เช่น ความสามารถในการบรรลุเป้าหมายผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลได้เกิน 40% การลดภาระของโรงพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ในด้านจุดแข็งของระบบการดูแลจังหวัดพิษณุโลกมีจุดแข็งในการมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม โดยมีโรงพยาบาลพุทธชินราชเป็นโรงพยาบาลศูนย์ที่แข็งแกร่งเป็นแกนหลัก และระบบเครือข่ายที่ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จังหวัดขอนแก่นมีจุดแข็งในการมีศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการเป็นแกนหลัก คือ ศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางวิชาการและแหล่งเรียนรู้ การวิจัยพบความท้าทายสำคัญหลายประการ ได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ปัญหางบประมาณที่จำกัดและการกระจัดกระจายของแหล่งทุน ปัญหาการเข้าถึงบริการที่ไม่เท่าเทียม ปัญหาการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างสังกัด โดยเฉพาะหลังจากการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และปัญหาการปฏิบัติตามมาตรฐาน โดยเฉพาะในเรื่องการวางแผนการดูแลล่วงหน้า การวิจัยมีข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในชุมชน ดังนี้ 1) การขยายผลอุบลรัตน์โมเดลไปยังพื้นที่อื่น ๆ โดยปรับให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนเชิงนโยบายและงบประมาณอย่างจริงจัง 2) การพัฒนาระบบสารสนเทศแบบบูรณาการที่เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง 3) การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายผ่านการพัฒนากลไกการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ 4) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่องผ่านระบบการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรที่เป็นระบบ โดยใช้ศูนย์ความเป็นเลิศเป็นหลัก 5) การลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการผ่านการพัฒนากลยุทธ์เฉพาะสำหรับกลุ่มเปราะบาง การสร้างระบบการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก การวิจัยเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบให้รองรับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในชุมชน เช่น การกำหนดรหัสสำหรับการรับส่งผู้ป่วยจากโรงพยาบาลกลับบ้าน การอนุญาตให้กองทุนสุขภาพตำบลสามารถจ่ายค่าตอบแทนผู้ดูแลและค่ารับส่งผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม การบูรณาการงบประมาณจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะงบประมาณส่งเสริมและป้องกันโรค งบ IMC และ Long Term Care และงบกองทุนสุขภาพตำบล เพื่อให้สามารถนำมาใช้สนับสนุนการจ้างนักบริบาลชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาระบบการประเมินและควบคุมคุณภาพที่เป็นมาตรฐานและใช้ร่วมกันในเครือข่าย และการสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและชุมชนในการสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายth_TH
dc.description.sponsorshipสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขth_TH
dc.language.isothth_TH
dc.publisherสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขth_TH
dc.rightsสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขth_TH
dc.subjectผู้ป่วยระยะสุดท้าย--การดูแลth_TH
dc.subjectผู้สูงอายุ--การดูแลth_TH
dc.subjectผู้ป่วยระยะสุดท้าย--การดูแลth_TH
dc.subjectโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลth_TH
dc.subjectภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance)th_TH
dc.titleการพัฒนารูปแบบบริการชีวาภิบาลวาระสุดท้ายของชีวิตที่บ้านและชุมชน พื้นที่ถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรณีจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดขอนแก่นth_TH
dc.title.alternativeEnd of Life Care Model Development at Home and the Community of Health Promoting Hospitals of Phitsanulok and Khon Kaen Provincial Administrative Organizationsth_TH
dc.typeTechnical Reportth_TH
dc.description.abstractalternativeThis study focuses on developing models for home- and community-based palliative care at the end of life, in response to people’s preference to spend their final days in familiar and supportive environments. The objectives were: (1) to formulate proposals for developing models of home- and community-based palliative end-of-life care during the transition of Tambon Health Promoting Hospitals (THPHs) to Provincial Administrative Organizations (PAOs); and (2) to develop a prototype model of such services during this transfer period. The research was an Implementation Research project using primarily qualitative methods, guided by the Generic Implementation Research framework. It was conducted in two provinces—Phitsanulok and Khon Kaen—and covered six major hospitals, including Buddhachinaraj Hospital, Naresuan University Hospital, Noen Maprang Hospital, Khon Kaen hospital, Srinagarind Hospital, and Ubolratana Hospital. Study participants comprised families/households of terminally ill patients enrolled in the project and stakeholders from all agencies involved in end-of-life care. Data collection employed multiple methods: in-depth interviews, focus group discussions, observation, and the FAMCARE-EOL assessment instrument adapted from the standard FAMCARE scale. Findings indicate substantial progress in developing effective community-based palliative care models aligned with the Thai context. Assessment with FAMCARE-EOL showed high family satisfaction with care in both Phitsanulok and Khon Kaen, with mean scores a cross all dimensions ranging from 4.6 to 4.9 out of 5. In terms of community network development, stakeholder engagement has advanced markedly, especially coordination among general hospitals, THPHs, and local administrative organizations; however, challenges remain in interagency communication and data exchange, as well as shortages of personnel and budget. The “Ubolratana Model” emerged as the most notable innovation, involving full-time community caregivers hired with private donations under community hospital supervision, receiving 6,000– 7,000 THB monthly and working Monday through Saturday, with results showing effectiveness like over 40% glycemic control in diabetic patients and reduced hospital burden for end-of-life care. Regarding system strengths, Phitsanulok benefits from suitable infrastructure, with Buddhachinaraj Hospital as a strong regional referral hub and well-coordinated network, while Khon Kaen’s strength is its academic center of excellence—the Karunruk Center at Srinagarind Hospital—serving as an academic hub and learning resource. Key challenges include personnel shortages; limited and fragmented funding; inequities in service access; coordination difficulties across agencies under different authorities, especially post-THPH transfer; and gaps in standards adherence, particularly in Advance Care Planning (ACP). The study proposes recommendations to improve community-based end-of-life care: first, scale up the Ubolratana Model to other areas with context-appropriate adaptation, supported by strong policy and budgetary backing; second, develop an integrated information system linking Ministry of Public Health agencies and local administrative organizations for continuity of care; third, strengthen networks via robust inter-agency collaboration mechanisms; fourth, build workforce capacity through systematic training using centers of excellence; fifth, reduce disparities by targeting vulnerable groups and proactive case -finding. Policy recommendations include revising regulations to support community care (e.g., coding for hospital-to-home transfers and allowing Subdistrict Health Funds for caregiver stipends and transport); pooling budgets from sources like Health Promotion funds, IMC, Long-Term Care, and Subdistrict Health Funds for caregiver financing; developing standardized performance and quality systems across networks; and creating private-sector and community participation mechanisms.th_TH
dc.identifier.contactno67-119
dc.subject.keywordชีวาภิบาลth_TH
dc.subject.keywordEnd of Life Care Modelth_TH
.custom.citationศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัย, Supasit Pannarunothai, พันธิตรา สิงห์เขียว, Pantitra Singkheaw, อรรถกร รักษาสัตย์, Attakorn Raksasataya, ระวิวรรณ สิงห์ป้อง, Rawiwan Singpong, วริศรา ตั้งตระกูล, Varitsara Tangtrakul, สิริลักขณา พระวงศ์, Sirilakkhana Phrawong, ศิลา โทนบุตร and Sila Tonboot. "การพัฒนารูปแบบบริการชีวาภิบาลวาระสุดท้ายของชีวิตที่บ้านและชุมชน พื้นที่ถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรณีจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดขอนแก่น." 2568. <a href="http://hdl.handle.net/11228/6353">http://hdl.handle.net/11228/6353</a>.
.custom.total_download2
.custom.downloaded_today1
.custom.downloaded_this_month2
.custom.downloaded_this_year2
.custom.downloaded_fiscal_year2

ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs3313.pdf
ขนาด: 4.107Mb
รูปแบบ: PDF
 

ชิ้นงานนี้ปรากฎในคอลเล็คชั่นต่อไปนี้

แสดงรายการชิ้นงานแบบง่าย