บทคัดย่อ
พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2535 แม้ว่าจะเป็นการประกันภาคบังคับ บริษัทประกันวินาศภัย ที่มุ่งกำไร เป็นผู้บริหารโครงการนี้ทั้งหมด แทนที่จะเป็นภาครัฐ พ.ร.บ.นี้ ให้การคุ้มครองโดยจ่ายสินไหมทดแทนกรณีรักษาพยาบาล ไม่เกินเพดานที่กำหนด และเหมาจ่ายกรณีการตาย และทุพพลภาพ รายงานปี 2545 แสดงให้เห็นว่า สามารถเก็บเบี้ยประกันได้ 7,003 ล้านบาท โดยมีรายจ่ายเพื่อการบริหารสูงถึงร้อยละ 41 รายจ่ายสินไหมทดแทนร้อยละ 52 พ.ร.บ. ไม่สามารถคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถทุกคนได้ เมื่อประเทศไทยบรรลุประกันสุขภาพถ้วนหน้าแล้ว มีความจำเป็นต้องทบทวน ความเหมาะสมและเสนอแนวทางการปฏิรูป ให้เหมาะสม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประมาณการความต้องการงบประมาณเพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถทุกคน และประมาณการว่าหากจะเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น จะต้องเก็บอีกกี่สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้ได้เงินเพียงพอในการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถทุกคน และนำเสนอแนวทางการปฏิรูป การศึกษาพบว่า เพื่อให้การคุ้มครองผู้ประสบภัยทุกคน ต้องการงบประมาณ 7,158 ล้านบาท ในปี 2545 เป็นการรักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยในร้อยละ 63 การรักษาก่อนถึงโรงพยาบาลร้อยละ 16 กรณีตายร้อยละ 15 กรณีรักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกร้อยละ 5 และกรณีทุพพลภาพร้อยละ 1 อาศัยฐานข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2545 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผู้วิจัยประมาณรายจ่ายบริโภคน้ำมันของครัวเรือน และปรับรายจ่ายเป็นปริมาณการบริโภค (ลิตร) จำแนกตามเดไซล์ของรายได้ครัวเรือน เพื่อวิเคราะห์ภาระรายจ่ายครัวเรือนหากจะต้องจ่ายภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยพบว่า จะต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นลิตรละ 32 สตางค์ เพื่อให้ได้เงินทั้งสิ้น 7,158 ล้านบาท เพื่อการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถทุกคน หากไม่มีความยืดหยุ่นของราคาต่อปริมาณและแบบแผนของอุปสงค์ ผู้วิจัยเสนอว่าให้เก็บภาษีเบนซิน 95 สูงกว่า น้ำมันประเภทอื่น ทางเลือกที่เก็บเพิ่มอีกลิตรละ 26 สตางค์สำหรับน้ำมันประเภทอื่นๆ และ 55 สตางค์สำหรับเบนซิน 95 เป็นทางเลือกที่มีความถดถอยน้อยที่สุดและมีความเป็นไปได้และการยอมรับมากกว่า การปฏิรูปควรจะบรรลุเป้าหมายหลัก 2 ประการคือ ให้การคุ้มครองทุกคน และต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำ ผู้วิจัยเสนอ 3 ทางเลือกจำแนกตามที่มาของเงิน ทางเลือกที่ 1 อาศัยเบี้ยประกันตาม พ.ร.บ. ทางเลือกที่ 2 อาศัยภาษีทั่วไป และทางเลือกที่ 3 อาศัยภาษีน้ำมันเฉพาะ ผลการวิเคราะห์พบว่า ทางเลือกที่ 2 และ 3 มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจาก มีเบี้ยประกันอยู่แล้ว ไม่น่าจะเป็นภาระงบประมาณ และในภาวะวิกฤตน้ำมัน ทางเลือกที่ 3 ไม่น่าจะเป็นที่ยอมรับได้ ภายใต้ ทางเลือกที่ 1 ผู้วิจัยเสนอว่า การปฏิรูปใหญ่ (major reform) โดยให้กรมขนส่งทางบกเก็บเบี้ยประกันในขณะเดียวกับการชำระภาษีรถยนต์ประจำปี โดยจัดงบประมาณบางส่วนจากเบี้ยประกันฯ เพื่อการจัดเก็บอย่างเหมาะสม เบื้ยที่เหลือส่งให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้ดำเนินการจ่ายกรณีเจ็บป่วย ตาย และทุพพลภาพ ทางเลือกการปฏิรูปเล็กน้อย (minor reform) ก็อาจจะเป็นที่ยอมรับได้ เนื่องจากสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 2 ด้านคือต้นทุนบริหารจัดการต่ำ และให้การคุ้มครองผู้ประสบภัยทุกคน
บทคัดย่อ
Traffic Victim Protection Act was implemented since 2535. Though it is a mandatory scheme, instead of public sector, the for profit private insurance companies are the carriers of the scheme. The Scheme compensates healthcare based on fee for services and maximum liability, a lump sum death and disability compensation are also granted. Financial report in 2545 indicated a net premium of 7,003 million Baht collected, with very high administrative cost (41%) and low loss ratio (52%), and inadequate cover all traffic victims. There is a need for a major reform in the context of achieving Universal Healthcare Coverage in Thailand in 2545. The objectives of this study are to estimate total resource requirement (for medical care, death and disability compensation) for all traffic accident victims, to estimate how much would the government introduce additional gasoline tax to cover all traffic victims, and provide policy choices for reform. Based on secondary sources of information, it was estimated that total resource requirement for all traffic accident victims would be 7,158 million Baht in 2545, of which 63% for inpatient care, 16% for pre-hospital care, 15% for death compensation, 5% for ambulatory care and 1% for disability. Household consumption of gasoline from the 2545 household socio-economic survey conducted by National Statistical Office was used to compute total litre of different types of gasoline consumed by household categorized by income deciles. To generate the total 7,158 million Baht to cover all traffic victims, the government has to raise 0.32 Baht to a litre of gasoline, given no price elasticity of demand by all household deciles. Several scenario of raising gasoline tax was proposed. We recommend the least regressive option, 0.26 Baht per litre for all type of gasoline except Octane 95, and collection 0.55 Baht per litre of Octane 95. Two goals of reform are identified: to cover all traffic victims (both caused by the insured and non-insured cars) and appropriate Scheme administrative cost. Three reform options were proposed based on sources of finance, option one generate revenue from premium contribution by car owners, option two from general tax and option three from dedicated gasoline tax. Analysis indicates that option two and three are neither politically feasibility nor socially acceptable. Three choices of reform under option one were identified: conservative, minor and major reforms. We recommend a major reform. This is to sub-contract the Department of Land Transport to collect premium while the mandatory annual renewal of car license. The large part of premium would be transferred to the National Health Security Office (NHSO) to cover all victims for medical care, death and invalidity compensations. The second preferred choice is minor reform, sub-contracting private insurance companies to collect premium, the large part of premium would be transferred to the NHSO.