• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

วัชระ เอี่ยมรัศมีกุล; Watchara Aiumrasamikul; ประทุม หงศาลา; บังอร สิมสีแก้ว; จุรีรัตน์ สุขประเสริฐ; ละเมียด สิงห์ธีร์; ชุติมา ปัตลา;
วันที่: 2543
บทคัดย่อ
ความรู้ เจตคติและพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาการวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ เจตคติและพฤติกรรมทางเพศของนักเรียนประถมและมัธยมศึกษา ประชากรที่ศึกษาคือนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (ป.5) ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.6) ในเขตอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ปีการศึกษา 2542 จำนวน 5956 คน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ป.5-6 ม.1-3 และ ม.4-6 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย (1) แบบสอบถามที่จัดทำขึ้น 2 ชุดซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเพศศึกษา 2 ท่านและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา 2 ท่าน เพื่อใช้สำหรับ ป.5-6 และสำหรับ ม.1-6 และ (2) แนวคำถามสำหรับการสัมมนากลุ่มย่อยและการสัมภาษณ์เชิงลึก 3 ชุดสำหรับ ป.5-6 ม.1-3 และ ม.4-6 เลือกตัวอย่างสำหรับตอบแบบสอบถามโดยวิธีการเลือกตัวอย่างกลุ่มหลายชั้น จำนวนตัวอย่าง ป.5-6 จำนวน 358 คน ม.1-3 จำนวน 372 คน ม.4-6 จำนวน 343 คน รวม 1073 คน คิดเป็นร้อยละ 18.0 ของประชากรและเลือกตัวอย่างสำหรับสัมมนากลุ่มย่อยและสัมภาษณ์เชิงลึกโดยวิธีเลือกตัวอย่างแบบหลายมิติ จำนวนตัวอย่างสำหรับการศึกษาเชิงคุณภาพ ป.5-6 จำนวน 24 คน ม.1-3 จำนวน 12 คน และ ม.4-6 จำนวน 12 คน รวม 48 คน ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายร้อยละ 41.8 เพศหญิงร้อยละ 58.2 อายุเฉลี่ย 14.0 ปี คะแนนความรู้ด้านเพศศึกษาของ ป.5-6 มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 49.5 (95%CI: 46.8-52.3) ม.1-3 ร้อยละ 44.3 (95%CI: 40.2-48.4) และ ม.4-6 ร้อยละ 61.8 (95%CI: 58.6-64.9) โดยความรู้ของ ป.5-6 ที่น้อยที่สุดคือความรู้ด้านกายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบสืบพันธุ์ ส่วนความรู้ของ ม.1-3 และ ม.4-6 ที่น้อยที่สุดเหมือนกันคือความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เจตคติทางเพศในประเด็นว่าใครควรเป็นผู้สอนเรื่องเพศศึกษามาก ที่สุด พบว่า ป.5-6 เห็นว่าแพทย์พยาบาลควรเป็นผู้สอนมากที่สุดร้อยละ 68.4 (95%CI: 61.5-75.4) ม.1-3 เห็นว่าแพทย์พยาบาลควรเป็นผู้สอนมากที่สุดร้อยละ 62.1 (95%CI: 55.2-69.0) ม.4-6 เห็นว่าแพทย์พยาบาลควรเป็นผู้สอนมากที่สุดร้อยละ 56.9 (95%CI: 51.5-62.2) รวมนักเรียนเห็นว่าแพทย์พยาบาลควรเป็นผู้สอนมากที่สุดร้อยละ 62.5 (95%CI: 58.8-66.3) เจตคติทางเพศเกี่ยวกับรูปแบบบริการคุมกำเนิดที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่น (เฉพาะ ม.1-6) พบว่า ม.1-3 เห็นว่าไม่ควรมีร้อยละ 53.2 เห็นว่าควรมีร้อยละ 18.0 ม. 4-6 เห็นว่าไม่ควรมีร้อยละ 59.2 เห็นว่าควรมีร้อยละ 23.6 รวมนักเรียนเห็นว่าไม่ควรมีร้อยละ 56.1 เห็นว่าควรมีร้อยละ 20.7 และความคิดเห็นต่อรูปแบบบริการอนามัยเจริญพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่น (เฉพาะ ม.1-6) นักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่ารูปแบบการให้คำปรึกษาโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข แพทย์พยาบาลเหมาะสมมากที่สุด (ร้อยละ 64.1, 95%CI: 60.5-67.7) เจตคติทางเพศในประเด็นว่าถ้าวัยรุ่นตั้งครรภ์ในขณะไม่พร้อมหรือไม่ตั้งใจจะดำเนินการอย่างไร (เฉพาะ ม.1-6) พบว่า ม.1-3 เห็นว่าควรปรึกษาบิดามารดาผู้ปกครองร้อยละ 49.7 รองลงมาคือแพทย์พยาบาลร้อยละ 25.5 ม. 4-6 เห็นว่าควรปรึกษาบิดามารดาผู้ปกครองร้อยละ 58.6 รองลงมาคือแพทย์พยาบาลร้อยละ 23.0 รวมนักเรียนเห็นว่าควรปรึกษาบิดามารดาผู้ปกครองร้อยละ 54.0 รองลงมาคือแพทย์พยาบาลร้อยละ 24.3 ผลการศึกษาด้านพฤติกรรมทางเพศพบว่า ป.5-6 เคยมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 1.1 ม.1-3 ร้อยละ 1.1 และ ม.4-6 ร้อยละ 5.2 รวมนักเรียนเคยมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 2.4 โดยสัดส่วนของนักเรียนหญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์เมื่อระดับชั้นสูงขึ้นมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น จากผลการศึกษานี้ชี้บ่งว่าควรมีการปรับปรุงการสอนเพศศึกษาในชั้นเรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก การจัดบริการอนามัยเจริญพันธุ์ในลักษณะการให้คำปรึกษาอาจมีความเหมาะสมและควรมีการสำรวจความพร้อมของบิดามารดาผู้ปกครองในการให้คำปรึกษากรณีเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์ในขณะไม่พร้อม

บทคัดย่อ
Sexual knowledge, attitude and behavior of primary and secondary education school studentsThis survey aimed to explore knowledge, attitude and behavior of primary and secondary education school students. The sampled population was the students from "pathom" or "po" 5 (late primary school-about 11 years old) through "matayom" or "mo" 6 (late secondary school-about 18 years old) at Phanomphrai district, Roi-Et province, Northeast of Thailand, in academic year 1999. The subjects were stratified into 3 groups, according to education levels, i.e. po 5-6, mo 1-3 and mo 4-6. Two multiple-choice questionaries were, after approved by 4 experts in sexology and in education, used separately, one for po 5-6 and another for mo 1-6 group, for quantitative survey. Three discussion guidelines were developed and used for each group. Among a total of 5956 students, 1073 (18.0) : The result of attitude towards who is the most suitable for teaching sexual education reveals that most po 5-6 group prefered a doctor or a nurse. This result corresponds to mo 1-3 (62.1%, 95%Cl: 55.2-69.0)and mo 4-6Z56.9%, 95%Cl:51.5-62.2), and 62.5%Z95%Cl: 58.8-66.3) of all students think so.The attitude towards should school reproductive health services be provided, survey only among mattayom students (mo 1-6), reveals that 53.2 % of mo 1-3, 59.2 % of mo 4-6 and 56.1 % of all mattayom students did not agree. On the other hand, 18.0 % of mo 1-3, 23.6 % of mo 4-6 and 20.7 % of all mattayom students agreed. Most of the students agree that counselling clinic in school by a doctor or nurse or health personnel would be most suitable (64.1 %, 95%CI: 60.5-67.7). The attitude towards what to do first if unwanted pregnancy occurs, survey only among mo 1-6, reveals that 49.7 % of mo 1-3 group would tell their parents and 25.5 % would consult a doctor or a nurse. The same attitude was found among mo 4-6 group, 58.6 % would tell their parents and 23.0 % would consult a doctor or a nurse. For the total of mo 1-6 students, 54.0 % would tell their parents and 24.3 % would consult a doctor or a nurse. The sexual experience was 1.1 % among po 5-6 students, 1.1 % among mo 1-3 and 5.2 % among mo 4-6, and the overall experience was 2.4 %. This study suggests sexual education in school be adjusted according to the student needs. School reproductive health services by means of counselling clinic may be appropriate and there should be a survey for parental readiness in counselling an adolescent with unplanned pregnancy.
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs0707.PDF
ขนาด: 4.649Mb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 0
ปีงบประมาณนี้: 2
ปีพุทธศักราชนี้: 1
รวมทั้งหมด: 389
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Research Reports [2469]

    งานวิจัย


DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [619]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [99]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [286]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [125]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [158]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1281]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [228]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [20]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV