บทคัดย่อ
การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการที่สำคัญ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าการศึกษานั้นมีความเหมาะสมและนำไปสู่การควบคุมและประกันคุณภาพการศึกษา การวิจัยเชิงประเมินผลครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรพยาบาลเฉพาะทางสาขาการพยาบาลผู้ใช้ยาและสารเสพติดในองค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการดำเนินการ และด้านผลลัพธ์ของหลักสูตร ผู้วิจัยใช้รูปแบบซิป (CIPP model) ในการประเมิน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามความคิดเห็นต่อหลักสูตรทั้งในส่วนของบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการและผลลัพธ์ของหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางสาขาการพยาบาลผู้ใช้ยาและสารเสพติด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยแวดล้อมหรือบริบทของหลักสูตร พบว่าหลักสูตรมีความสอดคล้องกับความต้องการของสังคม วัตถุประสงค์ของหลักสูตรโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับหนึ่ง ยังขาดความครอบคลุมสมรรถนะในด้านการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความสามารถในเรื่องความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการให้บริการเชิงรุก 2. ปัจจัยนำเข้า ทั้งในส่วนของผู้เข้ารับการอบรม วิทยากร เนื้อหาหลักสูตร สถานที่ ปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ โดยภาพรวมมีความเหมาะสม พบว่ายังมีปัญหาในเรื่องครูพี่เลี้ยงที่ยังขาดองค์ความรู้และแนวทางการปฏิบัติการพยาบาลที่ชัดเจน เนื้อหาหลักสูตร บางวิชาเนื้อหามากเมื่อเทียบกับเวลาและมีบางวิชาที่ซ้ำซ้อน สถานที่ฝึกปฏิบัติการพยาบาลทั้งภายในและภายนอกยังขาดการเตรียมความพร้อมด้านแนวทางการดำเนินงาน 3. กระบวนการดำเนินการโดยรวมและรายด้าน มีความเหมาะสม พบปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการหลักสูตรขาดผู้ประสานงานกลางที่สามารถสื่อสารและตัดสินใจได้อย่างทันเวลา 4. ผลลัพธ์ ได้แก่ ระดับการรับรู้ ความรู้ ความสามารถ การประยุกต์ใช้ของผู้ผ่านการอบรมพบว่าทุกหมวดวิชาอยู่ในระดับมาก – มากที่สุด ยกเว้นวิชาที่อยู่ในระดับน้อย ได้แก่ วิชาการจัดการและการประสานเครือข่ายในการดูแลผู้ใช้ยาและสารเสพติด, วิชาการเลือกใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดูแลสุขภาพผู้ใช้ยาและสารเสพติด วิชาการบำบัดฟื้นฟูทางจิตสังคมแก่ผู้ใช้ยาและสารเสพติดโดยกลุ่มบำบัด และชุมชนบำบัด วิชาประเด็นทางกฎหมายและจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสถานพยาบาล ในส่วนคุณภาพการปฏิบัติงานของผู้ผ่านการอบรมมีการประเมินตนเองอยู่ในระดับมาก ( = 3.17) ใกล้เคียงกับการรับรู้ของผู้บังคับบัญชา( = 3.18) เช่นเดียวกับการรับรู้ของผู้ร่วมงานที่อยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน ( = 3.26 ) ผลการศึกษานี้ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และสอดคล้องกับความต้องการของสังคมต่อไป