dc.contributor.author | อุษาวดี มาลีวงศ์ | en_US |
dc.contributor.author | นุศราพร เกษสมบูรณ์ | en_US |
dc.contributor.author | อัจฉรา เอกแสงศรี | en_US |
dc.contributor.author | สุรเดช อัศวินทรางกูล | en_US |
dc.contributor.author | กรรณิการ์ กิจติเวชกุล | en_US |
dc.date.accessioned | 2013-02-01T06:03:24Z | en_US |
dc.date.accessioned | 2557-04-17T00:29:47Z | |
dc.date.available | 2013-02-01T06:03:24Z | en_US |
dc.date.available | 2557-04-17T00:29:47Z | |
dc.date.issued | 2555-08 | en_US |
dc.identifier.other | hs2022 | en_US |
dc.identifier.uri | http://hdl.handle.net/11228/3750 | en_US |
dc.description.abstract | การแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตรของไทย เพื่อให้คุ้มครองสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ (Product
patent) จากเดิมที่ให้สิทธิบัตรเฉพาะในส่วนสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิต (Process patent) ตามแรงกดดัน
ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2535 ส่งผลกระทบในด้านลบอย่างมากต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยา
ภายในประเทศรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านยาที่เพิ่มขึ้นอย่างมากอันเนื่องมาจากการผูกขาดตลาดยาของยา
ต้นแบบที่มีราคาสูง จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2554 พบว่ามูลค่าการใช้ยานำเข้าอยู่ที่
77% ขณะที่มูลค่าการใช้ยาที่ผลิตในประเทศเหลือเพียงแค่ 23% เท่านั้น จากมูลค่ายาของทั้งประเทศอยู่
ที่ 1.4 แสนล้านบาท นอกเหนือจากการที่บริษัทต้นแบบได้รับความคุ้มครองเป็นระยะเวลา 20 ปี ตาม
สิทธิในสิทธิบัตรยาแล้ว การจดสิทธิบัตรแบบ evergreening patent หรือการจดสิทธิบัตรแบบไม่ยอม
หมดอายุได้กลายเป็นกลยุทธ์ของเจ้าของสิทธิบัตรในการปรับเปลี่ยนรายละเอียดสิ่งประดิษฐ์เพียง
เล็กน้อยเพื่อขอรับความคุ้มครองต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความก้าวหน้า
ของนักประดิษฐ์ไทย และกีดกันยาชื่อสามัญเข้าสู่ตลาด ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการเข้าถึงยา เพราะ
เมื่อใดมียาชื่อสามัญเข้าสู่ตลาด จะทำให้ยาต้นแบบต้องลดราคาลงเพื่อแข่งขัน กลยุทธ์ดังกล่าวถูกใช้
อย่างมากในประเทศที่ระบบการให้สิทธิบัตรไม่มีคุณภาพ และกำลังทวีความรุนแรงของปัญหา จนกระทั่ง
ปี 2550 องค์การอนามัยโลก ได้จัดทำเกณฑ์การตรวจสอบสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ยาสำหรับเจ้าหน้าที่
ตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติอย่างชัดเจนในการพิจารณาว่าสิ่งประดิษฐ์นั้น
สมควรได้รับสิทธิบัตรหรือไม่ และในปี 2551 คณะผู้เชี่ยวชาญจาก WHO, UNDP, UNCTAD และ WTO
แนะนำรัฐบาลไทยให้ปรับปรุง พระราชบัญญัติสิทธิบัตร ด้วยการรับหลักการของการพิจารณามาตรฐาน
การประดิษฐ์คิดค้นเพื่อแก้ปัญหา evergreening patent เช่นที่ประเทศอินเดียถือปฏิบัติ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาคู่มือการตรวจสอบสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ยาที่มีความเหมาะสม
ในบริบทของประเทศไทยโดยใช้แนวทางของเกณฑ์การตรวจสอบสิทธิบัตรที่พัฒนาจาก ICTSD,
UNCTAD และ WHO รวมถึงการประเมินสภาพปัญหาการขอรับสิทธิบัตรแบบ evergreen และการคาด
ประมาณผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านยาและการเข้าถึงยาของผู้ป่วย โดยมีข้อค้นพบสำคัญคือ
1. คำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ด้านเภสัชภัณฑ์ที่ได้ประกาศโฆษณาระหว่างปี พ.ศ. 2543-2553
จำนวน 2,188 คำขอ เป็นการขอรับสิทธิบัตรที่มีข้อถือสิทธิหลักเป็นการเปลี่ยนแปลง
รายละเอียดสิ่งประดิษฐ์เพียงเล็กน้อย หรือแบบ evergreening patent เพื่อยืดอายุการผูกขาด
ออกไปทำให้ยาชื่อสามัญไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ มากถึงร้อยละ 84
2. สถานการณ์ข้างต้นส่งผลกระทบต่อภาพรวมการบริโภคยาและตลาดยาของประเทศ โดยใน
รายการชื่อสามัญทางยาจำนวน 59 รายการที่นำมาวิเคราะห์ผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านยา
พบว่าเป็นคำขอรับสิทธิบัตรแบบ evergreen ที่ส่งผลให้มีการผูกขาดตลาด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 -
2571 คิดเป็นมูลค่าสะสมประมาณ 8,477.7 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะผลกระทบที่
เกิดขึ้นแล้วคือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2553 พบว่าประเทศไทยเสียโอกาสในการประหยัดงบประมาณไปแล้วถึง 1,177.6 ล้านบาท หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หากกรมทรัพย์สินทางปัญญานำ
แนวทางการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรฉบับใหม่มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดสิทธิบัตรที่ไม่มีวัน
สิ้นสุด จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาได้ถึง 8,500 ล้านบาทโดยประมาณ
3. ในการวิเคราะห์หาค่าต้นทุน-อรรถประโยชน์ (Cost-utility analysis) ของการใช้ยาในโรคสำคัญที่
มีค่าใช้จ่ายด้านยาสูง 3 โรค ประกอบด้วย โรคเอดส์ โรคมะเร็งเต้านม และโรคกระดูกพรุน
พบว่าในสถานการณ์ที่มีการใช้ยาต้นแบบเพื่อการรักษาโรคดังกล่าวนั้นไม่มีความคุ้มค่าในด้าน
ต้นทุน-อรรถประโยชน์เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ความคุ้มค่าที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลก
เนื่องจากยาต้นแบบมีราคาแพง อย่างไรก็ตามหากมีการทดแทนด้วยยาสามัญในผู้ป่วยทุกราย
พบความคุ้มค่าในการใช้ยา Tenofovir ในผู้ป่วยเอดส์ และการใช้ยา Risedronate ในผู้ป่วย
กระดูกพรุน และในเวลา 10 ปีของการรักษาในทั้ง 3 โรค พบว่าการทดแทนยาต้นแบบด้วยยา
สามัญทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 66.9 ในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน, ร้อยละ 21.7 ในผู้ป่วย
โรคเอดส์ และร้อยละ 9.3 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ตามลำดับ
ข้อพิจารณาทางเลือกการตัดสินใจ
การพัฒนาระบบการตรวจสอบการให้สิทธิบัตรมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการคัดกรองให้เภสัช
ภัณฑ์ยาที่ไม่มีความใหม่ ไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ไม่ให้ได้รับสิทธิบัตร เพื่อเปิดโอกาสให้ยาชื่อ
สามัญเข้ามาแข่งขันได้ ทำให้ยาจำเป็นมีราคาถูกลง เพื่อระบบหลักประกันสุขภาพสามารถจัดหายา
เหล่านั้นให้ประชาชนเข้าถึงยาได้มากขึ้น และยังเสริมสร้างงานวิจัยและพัฒนาของไทยให้มีความเข้มแข็ง
มากขึ้น สามารถดำเนินการได้หลายทางเลือกเพื่อเป็น safeguard สำหรับประเทศไทย สรุปดังนี้
ทางเลือกที่ 1 ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งสำนักงานคณะกรรมการควบคุมยาแห่งชาติ
ซึ่งทำหน้าที่เช่นเดียวกับ ANVISA ของบราซิลและแก้ไข พระราชบัญญัติสิทธิบัตร เพื่อรองรับการให้
ความเห็นของสำนักงานในการวิเคราะห์การขอสิทธิบัตรเภสัชภัณฑ์ ทางเลือกนี้จะเป็นแนวทางแก้ปัญหา
ที่ยั่งยืนอย่างยิ่ง
ทางเลือกที่ 2 แก้ไข พระราชบัญญัติสิทธิบัตร เพื่อแต่งตั้ง “คณะกรรมการสิทธิบัตรเภสัชภัณฑ์”
ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำหน้าที่พิจารณา วินิจฉัยและดำเนินการ
เกี่ยวกับสิทธิบัตรเภสัชภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนมาก
ทางเลือกที่ 3 แก้ไข พระราชบัญญัติสิทธิบัตรให้กำหนดรายละเอียดของขั้นตอนการประดิษฐ์ที่
สูงขึ้น เพื่อป้องกันการยื่นคำขอสิทธิบัตรที่ไม่สามารถนับเป็นขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นโดยการ
เปลี่ยนแปลงข้อถือสิทธิไปเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับยา อันจะเป็นผลเสียต่อการเข้าถึงยาและบริการสาธารณสุขของประเทศ และประกาศกรมทรัพย์สินทางปัญญารองรับเกณฑ์การจด
สิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ยาขององค์การอนามัยโลก เป็นแนวทางพิจารณาเทคโนโลยีที่สมควรได้รับสิทธิบัตร
ทางเลือกนี้เป็นแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน แม้อาจต้องเผชิญแรงต้านจากอุตสาหกรรมยาข้ามชาติอยู่บ้าง
แต่มีคำแนะนำของคณะผู้เชี่ยวชาญฯรองรับ และแนวทางนี้ได้ถูกระบุในยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อการ
เข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทยและยุทธศาสตร์แห่งชาติด้านยาซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ
แล้ว และผ่านการมีส่วนร่วมของสมาคมอุตสาหกรรมยาข้ามชาติแล้วในการพิจารณาของสมัชชาสุขภาพ
แห่งชาติครั้งที่ 1
ทางเลือกที่ 4 เร่งออกประกาศกรมทรัพย์สินทางปัญญาใช้คู่มือการตรวจสอบสิทธิบัตรที่
เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ทางยา ซึ่งโครงการวิจัย ‘สิทธิบัตรยาที่มีลักษณะไม่มีวันสิ้นสุดในประเทศไทย
และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น’ ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนร่วมกันระหว่างสถาบันวิจัยระบบ
สาธารณสุขและกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พัฒนาขึ้นจากการรับฟังความเห็นของ
ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้เสีย ดังเช่นที่ รัฐบาลอาร์เจนติน่าเพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
เพื่อแก้ปัญหาในลักษณะเดียวกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนก่อนที่จะมีการแก้ไข
พระราชบัญญัติสิทธิบัตรต่อไป ในทางเลือกที่ 4 นี้มีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับ
สิทธิบัตรที่กีดกันการเข้าถึงยาซึ่งกำลังทวีความรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ส่วนในระยะยาว รัฐบาลควรผลักดัน
ให้เกิด แก้ไข พระราชบัญญัติสิทธิบัตรให้กำหนดรายละเอียดของขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ตาม
ทางเลือกที่ 3 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป | en_US |
dc.description.sponsorship | สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข | en_US |
dc.format.extent | 1557454 bytes | en_US |
dc.format.mimetype | application/zip | en_US |
dc.language.iso | th | en_US |
dc.publisher | สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข | en_US |
dc.rights | สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข | en_US |
dc.subject | สิทธิบัตรยา | en_US |
dc.subject | ยา | en_US |
dc.subject | ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) | th_TH |
dc.title | โครงการสิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทยและการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น | en_US |
dc.type | Technical Report | en_US |
dc.identifier.callno | QV736 อ864ค 2555 | en_US |
dc.identifier.contactno | 53-063 | en_US |
.custom.citation | อุษาวดี มาลีวงศ์, นุศราพร เกษสมบูรณ์, อัจฉรา เอกแสงศรี, สุรเดช อัศวินทรางกูล and กรรณิการ์ กิจติเวชกุล. "โครงการสิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทยและการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น." 2555. <a href="http://hdl.handle.net/11228/3750">http://hdl.handle.net/11228/3750</a>. | |
.custom.total_download | 320 | |
.custom.downloaded_today | 0 | |
.custom.downloaded_this_month | 3 | |
.custom.downloaded_this_year | 20 | |
.custom.downloaded_fiscal_year | 4 | |