บทคัดย่อ
เป็นที่รับทราบกันดีโดยทั่วไปในสังคมแล้วว่าประเทศไทยเราก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเรียบร้อยแล้วและในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทยเราก็จะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย เรามีผู้สูงอายุถึงร้อยละ 20 ของประชากร ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรดังกล่าวมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของภาระโรคที่มาจากโรคติดต่อเรื้อรังที่รักษาไม่หายและมักมีภาวะทุพพลภาพตามมา ขณะเดียวกันอายุที่มากขึ้นก็ตามมาด้วยการถดถอยของสมรรถนะการทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมถึงสมรรถนะทางกายและสมอง ส่งผลให้มีจำนวนผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้หรือได้จำกัดเพิ่มมากขึ้น และต้องการการดูแลจากบุคคลในครอบครัวมากขึ้น สวนทางกับการถดถอยของสมรรถนะของครอบครัวในการให้การดูแลผู้สูงอายุ อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ครอบครัวมีขนาดเล็กลง การเคลื่อนย้ายของประชากรวัยแรงงานไปต่างถิ่น สตรีมีบทบาททางเศรษฐกิจนอกบ้านมากขึ้น เป็นต้น ทำให้มีผู้สูงอายุที่อาศัยตามลำพังคนเดียวหรืออยู่ลำพังสองคนตายายเพิ่มขึ้น สภาพความเป็นจริงดังกล่าวทำให้หลายๆ พื้นที่ มีการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือกันในชุมชนโดยความร่วมมือของทีมสาธารณสุข ท้องถิ่นและภาคประชาชนในการจัดการบริการแก่ผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนขึ้น ตลอดจนมีการขับเคลื่อนผลักดันเชิงนโยบายของรัฐบาลในปี 2558 นี้เองและเริ่มมีงบประมาณสนับสนุนให้ในปีงบประมาณ 2559 เป็นปีแรก โดยให้มีการนำร่องใน 1,000 ตำบล ที่มีความพร้อมและมีเป้าหมายการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 100,000 คน โดยอาศัยกลไกกองทุนตำบล ซึ่งทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ไปริเริ่มไว้ตั้งแต่ปี 2549 เป็นกลไกหลักให้ครอบครัวเป็นผู้ดูแลหลักและระบบนี้ไปช่วยหนุนเสริมการดูแลภายใต้การสนับสนุนของท้องถิ่นและระบบบริการสาธารณสุข เนื่องจากการดำเนินงานตามนโยบายนี้ยังมีลักษณะเป็นการนำร่อง ไม่ได้ดำเนินการเต็มทุกพื้นที่ หลายประเด็นก็อาจยังไม่ลงตัว ประกอบกับการที่จะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่เหลือต้องมีการพัฒนาด้านกำลังคนก่อน การประเมินระหว่างการดำเนินงาน (Formative Evaluation) ในปีแรกในงานนี้จึงมีประโยชน์ เพื่อการพัฒนาด้านนโยบายและการพัฒนาการดำเนินงานตามนโยบายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ มีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และเป็นธรรม และเป็นประโยชน์ในการเตรียมระบบเพื่อขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป