บทคัดย่อ
บทนำ ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในกลุ่มเด็กปฐมวัยเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ยังคงพบในประเทศไทย อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนมาตรการการเสริมธาตุเหล็กในเด็กทารกจากการเสริมแบบสัปดาห์ละครั้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นการเสริมวันละครั้งตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลกควรมีการศึกษาในเด็กไทย เพื่อให้ได้ผลงานวิจัยสำหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายของมาตรการเสริมธาตุเหล็กในทารกต่อไป วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการเสริมธาตุเหล็กทุกวันกับการเสริมธาตุเหล็กสัปดาห์ละครั้ง ในทารกอายุ 6-12 เดือนต่อความชุกภาวะโลหิตจาง ระดับฮีโมโกลบิน และระดับซีรั่มเฟอร์ริติน วิธีวิจัย ดำเนินการศึกษาทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุมและปกปิด 2 ทาง (Double-blinded randomized controlled trial) ในเด็กทารกสุขภาพดีอายุ 6-12 เดือน จำนวน 287 คน เพื่อเปรียบเทียบการเสริมธาตุเหล็ก 2 รูปแบบ โดยกลุ่มที่ 1 (กลุ่มทุกวัน) ได้รับยาน้ำเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 12.5 มิลลิกรัม วันละครั้งทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน (อายุ 6 – 9 เดือน) หลังจากนั้นเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 12.5 มิลลิกรัม สัปดาห์ละครั้งไปจนถึง 12 เดือน และกลุ่มที่ 2 (กลุ่มทุกสัปดาห์) ได้รับยาน้ำเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 12.5 มิลลิกรัม สัปดาห์ละครั้ง ตั้งแต่อายุ 6 – 12 เดือน มีการตรวจระดับค่าฮีโมโกลบิน ฮีมาโตคริตซี ซีรั่มเฟอร์ริติน และซีรั่มทรานสเฟอร์รินรีเซปเตอร์ เมื่อเริ่มการศึกษา (ทารกอายุ 6 เดือน) และติดตามหลังการศึกษาเมื่อทารกอายุ 9 เดือนและอายุ 12 เดือน ผลการศึกษา เมื่อเริ่มการศึกษากลุ่มทารกที่ได้รับการเสริมธาตุเหล็กทุกวันและทุกสัปดาห์ไม่มีความแตกต่างกันในค่าฮีโมโกลบิน ฮีมาโตคริต และซีรั่มเฟอร์ริติน ยกเว้นระดับซีรั่มทรานสเฟอร์รินรีเซปเตอร์ ทั้งนี้เมื่อติดตามที่อายุ 9 เดือน พบว่าระดับซีรั่มเฟอร์ริตินในกลุ่มทารกที่ได้รับการเสริมธาตุเหล็กทุกวันมีค่าสูงกว่ากลุ่มทารกที่ได้รับการเสริมธาตุเหล็กทุกสัปดาห์ ในขณะที่ไม่พบความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มในส่วนของค่าฮีโมโกลบิน ฮีมาโตคริต และซีรั่มทรานสเฟอร์รินรีเซปเตอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นแนวโน้มว่าการเสริมธาตุเหล็กทุกวันเริ่มตั้งแต่อายุ 6 เดือน และให้เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยให้ภาวะธาตุเหล็กของทารกดีขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อทารกทุกคนกลับไปได้รับการเสริมธาตุเหล็กแบบสัปดาห์ละครั้งในช่วงอายุ 9 เดือนถึง 12 เดือน ก็ไม่พบความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มอีกต่อไป นอกจากนี้ไม่พบความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่มในสัดส่วนของภาวะโลหิตจางและภาวะขาดธาตุเหล็กทั้งในช่วงอายุ 6 เดือน 9 เดือน และ 12 เดือน การที่เห็นแนวโน้มว่าระดับธาตุเหล็กของกลุ่มที่ได้รับวันละครั้งดีกว่ากลุ่มสัปดาห์ละครั้งที่อายุ 9 เดือน แต่ไม่พบความแตกต่างที่อายุ 12 เดือน อาจเนื่องมาจากการให้ธาตุเหล็กสัปดาห์ละครั้งใช้เวลานานกว่าในการเห็นผลเมื่อเทียบกับการให้ทุกวัน ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพของการให้ธาตุเหล็กสัปดาห์ละครั้งต่ำกว่าในช่วงระยะแรก ดังนั้นเมื่อพิจารณาในด้านงบประมาณที่อาจเพิ่มขึ้น การปรับเปลี่ยนนโยบายมาให้ธาตุเหล็กวันละครั้งอาจยังไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย
บทคัดย่อ
Introduction: Iron deficiency anemia in early childhood continues to be a public health concern in
Thailand. However, before modifying the current iron supplementation policy for infants from weekly
to daily supplementation, as recommended by the World Health Organization, it is crucial to conduct
a study specifically in Thai children. Findings from this research will provide valuable evidence to
guide future policy decisions regarding iron supplementation strategies for infants.
Objective: To compare the effects of daily iron supplementation with weekly iron supplementation
in infants aged 6-12 months on the prevalence of anemia, hemoglobin level and serum ferritin
levels.
Methods: A double-blinded randomized controlled trial was conducted among 287 healthy infants
aged 6-12 months to compare two forms of iron supplementation. Group 1 (Daily group) received a
daily iron supplement of 12.5 mg for 3 months (ages 6-9 months), followed by a weekly iron
supplement of 12.5 mg until 12 months of age. Group 2 (Weekly group) received a 12.5 mg iron
supplement once a week from 6 to 12 months of age. Hemoglobin, hematocrit, serum ferritin, and
serum transferrin receptor levels were measured at the start of the study (at 6 months of age) and
during follow-up assessments at 9 and 12 months of age.
Results: At the beginning of the study, there were no differences in hemoglobin, hematocrit, and
serum ferritin between infants receiving daily and weekly iron supplementation, except for serum
transferrin receptor levels. However, when followed up at 9 months of age, serum ferritin levels
were higher in the infants who received daily iron supplementation compared to those who received
weekly supplementation. No differences were observed between the two groups in terms of
hemoglobin, hematocrit, or serum transferrin receptor levels. These findings suggest a trend where
daily iron supplementation starting at 6 months and continuing for 3 months may enhance the iron
status of infants. However, after all infants switched to weekly iron supplementation from 9 to 12
months of age, no further differences were noted between the groups. Additionally, there were no
differences in the proportions of anemia or iron deficiency between the two groups at 6, 9, or 12
months of age. The observed trend that iron levels in the group receiving daily supplementation
were better than those in the weekly group at 9 months, but showed no difference at 12 months,
may be due to the fact that weekly supplementation takes longer to show effects compared to
daily supplementation. This may result in lower effects of weekly supplementation during the early
stages. Therefore, considering the potential increase in budget, adjusting the policy to provide daily
iron supplementation may not yet be necessary for Thailand.