บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ โครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อ 1) อธิบายรูปแบบพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและผลกระทบจากการใช้กัญชาของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และสร้างแบบสอบถามเพื่อ 1) ศึกษาผลของการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคต่อความร่วมมือในการรักษาและพฤติกรรมสุขภาพ และ 2) คาดประมาณความชุกของรูปแบบพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาในด้านต่าง ๆ ตามกลุ่มปัจจัยทางประชากรศาสตร์และเศรษฐสังคม ปัจจัยทางคลินิกและมุมมองและความเข้าใจเกี่ยวกับกัญชา ระเบียบวิธีวิจัย โครงการนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมวิธี (sequential-exploratory mixed methods) ประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสำรวจภาคตัดขวาง (exposure-based crosssectional survey) ผู้วิจัยเลือกคลินิกโรคเรื้อรังประจำโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลขนาดกลาง โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอย่างละ 1 แห่ง เป็นสถานที่ศึกษา โดยมีบุคลากรประจำสถานพยาบาลเป็นผู้ประสานงานเมื่อคัดกรองพบผู้ป่วยที่ระบุว่าใช้กัญชาในช่วง 3 เดือน ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยที่ไม่ใช้กัญชาที่มีลักษณะทางคลินิกคือ โรคประจำตัวและแพทย์ตรงกันในอัตรา 1:1 เพื่อวิเคราะห์หาอิทธิผลของการใช้กัญชาต่อความร่วมมือในการรักษาด้วยการวิเคราะห์ถดถอยแบบมีเงื่อนไขตามรหัสการจับคู่ ผลการศึกษา การสำรวจมีอาสาสมัคร 280 คน โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยที่ใช้กัญชาและผู้ป่วยที่ไม่ใช้กัญชากลุ่มละ 140 คน อาสาสมัครส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ สมรส จบประถมศึกษาและมีรายได้ของครอบครัวต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท ผู้ป่วยที่ใช้กัญชามักเป็นเพศชาย (ร้อยละ 58) ลักษณะทางคลินิกพบโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานร้อยละ 90.7 และร้อยละ 62.1 ตามลำดับ โรคร่วมที่พบบ่อยในผู้ที่ใช้กัญชาคือโรคหลอดเลือดสมองและมะเร็ง ผู้ป่วยใช้กัญชาเฉลี่ย 2.1 ปี ใช้กัญชาตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ร้อยละ 62.1 ใช้ด้วยวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวร้อยละ 40.0 เพื่อการสันทนาการเพียงอย่างเดียวร้อยละ 16.4 และทั้งสองด้านร้อยละ 43.6 ส่วนมากใช้กัญชาในรูปแบบน้ำต้ม (ร้อยละ 81.7) มีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 1.4 ที่ได้รับกัญชาจากสถานพยาบาลของรัฐ ผู้ป่วยที่ใช้กัญชามีการขาดการติดตามการรักษาจากแพทย์บ่อยครั้งกว่า ผู้ใช้กัญชามักมีความเข้าใจเกี่ยวกับสรรพคุณของกัญชาด้านการบรรเทาอาการ หากแต่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้รักษาโรคและมาตรการควบคุมกัญชา ผู้ป่วยทั้งผู้ใช้และไม่ใช้กัญชาส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการใช้กัญชาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังการใช้กัญชามีความสัมพันธ์กับความร่วมมือการรักษาที่ไม่เพียงพอ (อัตราส่วนออดส์ปรับแล้ว 7.42 (ช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95% 1.21 - 45.48) อภิปรายและสรุปผล ผู้ป่วยโรคเรื้อรังส่วนใหญ่เข้าถึงกัญชาหลังการเปลี่ยนแปลงนโยบายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 และมีการค้นหาผลิตภัณฑ์และเรียนรู้การใช้งานด้วยตนเองเป็นหลัก การใช้กัญชาส่งผลต่อความร่วมมือในการรักษา การศึกษาเชิงสำรวจประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงบริบทและเกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา ข้อมูลบางส่วนควรถูกแปลผลอย่างระมัดระวังหากนำไปใช้ในประชากรที่แตกต่างออกไป
บทคัดย่อ
Objectives: This project aimed to: 1) gather information on patterns of cannabis
use and their impacts on the health of chronic disease patients, and develop a
questionnaire; 2) describe the distribution of cannabis use quantitatively, per
sociodemographics, clinical information, and understandings regarding cannabis, and
examine the associations between cannabis use and medication adherence in non -
communicable disease (NCD) patients.
Methods: We employed sequential-exploratory mixed methods, including indepth interviews and an exposure-based cross-sectional survey. Four NCD clinics were
purposively selected from four levels of Thai healthcare centers: a community hospital,
a general hospital, a referral hospital, and a medical school hospital. We coordinated
with clinic staff to recruit study participants. When a cannabis user was identified during
routine care, investigators matched them with a non-cannabis-user patient with the same
medical conditions and being treated by the same physician, in a 1:1 ratio. We analyzed
the association between cannabis use and medication adherence using conditional
logistic regression.
Results: Two hundred and eighty patients participated in the survey, with 140
patients each reporting using and not using cannabis in the past three months. Most
participants were Buddhists, married, had primary school education, and a family
monthly income of less than 30,000 Thai Baht. Most cannabis users were male (58%).
Among the participants, 90.7% had hypertension and 62.1% had diabetes.
Cerebrovascular diseases and cancer were common comorbidities among cannabis users.
On average, cannabis users had used cannabis for 2.1 years, with 62.1% starting since
June 2022. Usage for medical purposes, recreational purposes, and both purposes were
40.0%, 16.4%, and 43.6%, respectively. The most common preparation was cannabis tea
(81.7%). Only 1.4% of participants received cannabis products from government health
centers. Cannabis users had a higher rate of loss to follow-up than non-users and were
more likely to understand cannabis's symptom-relieving effects correctly. However, these
users had limited understanding of scientifically proven therapeutic effects and cannabis
regulations in Thailand. Both cannabis users and non-users generally agreed that
cannabis use should be under a physician’s supervision. Cannabis use was significantl y
associated with low medication adherence in NCD patients (adjusted odds ratio 7.42,
95% confidence interval 1.21 – 45.48).
Summary: NCD patients commonly gained access to cannabis products after
June 2022, primarily through self-research, and were able to access various cannabis
products. Cannabis use was associated with low medication adherence. However, this
investigation was conducted only in Songkhla province, so caution should be taken when
generalizing certain parts of the study results to different settings.