บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: Whole exome sequencing (WES) เป็นวิธีวิเคราะห์พื้นฐานที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคคอเลสเตอรอลสูงทางพันธุกรรม (familial hypercholesterolemia, FH) และในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิค long-read sequencing (LRS) ซึ่งทำให้สามารถระบุลักษณะทางพันธุกรรมของโรคคอเลสเตอรอลสูงที่เกิดจากกรรมพันธ์ุได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการประยุกต์ใช้แนวทางการประเมินความคุ้มค่าสำหรับการแพทย์เฉพาะบุคคลหรือการแพทย์แม่นยำและประเมินความคุ้มค่าของการคัดกรองโรค FH ด้วยวิธี WES ในบริบทของระบบสุขภาพไทย ด้วยการประเมินความคุ้มค่าแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ทำการประเมินความคุ้มค่าแบบระยะเริ่มต้น เพื่อประเมินต้นทุนประสิทธิผลของการตรวจคัดกรองโรค FH ด้วยวิธี LRS ระเบียบวิธีวิจัย: การศึกษานี้ได้รวมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ได้แก่ นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และนักพัฒนา เพื่อร่วมกันพัฒนาแบบจำลองแผนภูมิต้นไม้ร่วมกับแบบจำลองมาร์คอฟในการประเมินต้นทุนประสิทธิผล ที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติทางเวชคลินิกของไทย โดยมีตัวเปรียบเทียบ คือ การดูแลรักษามาตรฐาน ตัวแปรในการวิเคราะห์ข้อมูลรวบรวมจากทะเบียนผู้ป่วยด้วยโรค FH ของประเทศไทย โรงพยาบาลในพื้นที่ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ โดยมีการกำหนดความเต็มใจที่จะจ่ายของประเทศไทยคือ 160,000 บาทต่อปีสุขภาวะ และมีการวิเคราะห์ความไว นอกจากนี้มีการประเมินต้นทุนประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์เป้าหมาย เพื่อวิเคราะห์ช่วงต้นทุนของ LRS ที่เป้าหมายขั้นต่ำที่ยอมรับได้ เป้าหมายที่ยอมรับได้ และเป้าหมายในอุดมคติ รวมถึงมีการประเมินความไม่แน่นอน โดยการวิเคราะห์ความไวแบบอาศัยความน่าจะเป็นสำหรับความแม่นยำของ LRS และวิเคราะห์สถานการณ์สำหรับการนำไปใช้ ผลลัพธ์: ค่าต้นทุนประสิทธิผลส่วนเพิ่มของการคัดกรองด้วยวิธี WES เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษามาตรฐานเท่ากับ 89,619 บาท ต่อปีสุขภาวะ โดยมีโอกาสเกิดความคุ้มค่าของ WES คิดเป็นร้อยละ 77.05 ภายใต้ค่าความเต็มใจที่จะจ่ายของประเทศไทย การวิเคราะห์ความไวพบว่าการเปลี่ยนแปลงอัตราการติดต่อญาติและการยอมรับในหมู่ญาติที่จะเข้ารับการคัดกรองโรค FH เป็นตัวแปรที่ส่งผลอย่างมากต่อความคุ้มค่าของการตรวจคัดกรองพันธุกรรมตามลำดับญาติของโรค FH ด้วยวิธี WES ทั้งนี้ แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์แบบระยะเริ่มต้นชี้ให้เห็นว่าการตรวจคัดกรองพันธุกรรมตามลำดับญาติของโรค FH ด้วยวิธี LRS มีความคุ้มค่า ถ้ามีราคาต่ำกว่า 173,134 บาท และเท่ากับ 46,197 บาท เมื่อเทียบกับการดูแลรักษามาตรฐาน และ WES ตามลำดับ และเมื่อต้นทุนการคัดกรองด้วยวิธี LRS เท่ากับ 39,491 บาท จะเป็นผลผลิตที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นเป้าหมายในอุดมคติ สรุปผลการศึกษา: การตรวจคัดกรองโรค FH ด้วยวิธีการตรวจคัดกรองพันธุกรรมตามลำดับญาติมีความคุ้มค่าในประเทศไทย โดยการใช้ WES มีประโยชน์มากกว่าการดูแลรักษามาตรฐาน อยู่ในช่วง 39,491 ถึง 173,134 บาท และสามารถยอมรับค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเมื่อมีความแม่นยำและมีการนำไปใช้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ PM-RC ยังระบุถึงแง่มุมที่สำคัญ เช่น การกำหนดประชากรเป้าหมาย การประเมินตัวเลือกที่เปรียบเทียบทั้งหมดรวมถึงความแม่นยำและการนำไปใช้ การพิจารณาการใช้อรรถประโยชน์ที่ลดลง และความครอบคลุมต้นทุนของการตรวจคัดกรองทั้งหมด ได้แก่ ต้นทุนในการสรรหาผู้ป่วย ต้นทุนการเก็บตัวอย่างและการทดสอบ ต้นทุนในการตีความและอ่านผลการทดสอบ และต้นทุนการตรวจลำดับยีนและการตรวจหาการกลายพันธุ์ การประเมินแหล่งความรู้ผ่านการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญช่วยเสริมให้ได้ผลการศึกษามีความเที่ยงตรงมากขึ้น และสิ่งสำคัญที่ได้จากการศึกษานี้คือการประเมินเศรษฐศาสตร์ทางสุขภาพสำหรับวิธีการทดสอบ FH cascade ทั้งแบบมาตรฐาน และในระยะเริ่มต้น
บทคัดย่อ
Objectives: Whole exome sequencing (WES) is commonly used for diagnosing familial hypercholesterolemia
(FH). The emergence of long-read sequencing (LRS) promises to improve the characterization of genetic FH. By
pilot-testing our newly developed economic evaluation reference case for precision medicine, we conducted
cost-effectiveness analysis (CEA) on FH cascade testing in Thailand, including conventional CEA to estimate the
value for money of WES at market-access stage, and early CEA to identify target product profiles (TPPs) of LRS.
Methods: We formed an expert panel consisting of health economists, clinicians and developers. Following
expert consultation, we developed hybrid decision tree and Markov models to reflect Thailand clinical practice.
The comparator was standard-of-care (SoC). Input parameters were sourced from the Thai FH registry, local
hospitals, published literature and expert elicitation. The willingness-to-pay threshold was 160,000 THB.
Sensitivity analyses were performed. TPPs were developed using reversed CEA approach to determine a range
of desirable cost packages for LRS at minimally acceptable target, acceptable target and Ideal target values.
Uncertainty in TPPs were assessed stepwise, including probabilistic analysis for LRS accuracy and scenario
analysis for uptake.
Results: The estimated incremental cost-effectiveness ratio (ICER) of cascade testing versus SoC was
89,619/QALY for WES. WES was 77.05% likely to be cost-effective versus SoC at Thai WTP threshold. Parameters
with the greatest impact were number of relatives contacted and the uptake of relatives. LRS requires a
maximum cost package of THB 173,134 for LRS to be cost-effective versus SoC under the minimally acceptable
target, THB 46,197 to be cost-effective versus WES under the acceptable target, and THB 39,491 to be the best
product at the ideal target.
Conclusion: FH cascade testing is generally cost-effective in Thailand. WES is advantageous over SoC of THB
39,491 to THB 173,134, and higher cost ceilings can be accepted as accuracy and uptake increase. In addition,
this study follows aligns with PM-RC recommendations, addressing crucial aspects such as defining the target
population, evaluating all comparator options including accuracy and uptake, integrating disutility
considerations, and encompassing comprehensive costs like patient recruitment, sample collection, result
communication, and genetic testing. Expert elicitation was employed where applicable, contributing to robust
study outcomes. Notably, this study represents a pioneering effort in providing health economic evaluations for
both conventional and early FH cascade testing methodologies.