• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Research Reports
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

การประเมินความคุ้มค่าด้วยวิธี Distributional Cost-Effectiveness Analysis ระยะที่ 1

วรรณฤดี อิสรานุวัฒน์ชัย; Wanrudee Isaranuwatchai; KC, Sarin; ชิตวรรณ พูนศิริ; Chittawan Poonsiri; ภิชารีย์ กรุณายาวงศ์; Picharee Karunayawong; จุฬาทิพย์ บุญมา; Chulathip Boonma; มันตา กรกฎ; Manta Korakot; ปฤษฐพร กิ่งแก้ว; Pritaporn Kingkaew;
วันที่: 2568-09
บทคัดย่อ
การประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ของระบบประกันสุขภาพของประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เริ่มใช้ข้อมูลการประเมินต้นทุนอรรถประโยชน์และผลกระทบงบประมาณสำหรับคัดเลือกยาราคาแพงเข้าสู่บัญชี จ(๒) ในปีถัดมาคณะอนุกรรมการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์และขอบเขตบริการ ภายใต้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีมติให้ใช้การประเมินต้นทุนอรรถประโยชน์และผลกระทบงบประมาณในการคัดเลือกมาตรการด้านสุขภาพที่ไม่ใช่ยาและวัคซีนเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเช่นกัน จากนโยบายดังกล่าวทำให้ระบบประกันสุขภาพของประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการตัดสินใจโดยอิงผลการประเมินดังกล่าวทำให้มาตรการต่าง ๆ ที่ได้รับการประเมินว่ามีความคุ้มค่ากล่าวคือมีต้นทุนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปีสุขภาวะที่ได้รับกลับมาจากการลงทุนมักได้รับการบรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ ในทางตรงกันข้ามมาตรการที่ประเมินว่าไม่มีความคุ้มค่าก็มีโอกาสน้อยที่จะได้รับการคัดเลือกในชุดสิทธิประโยชน์เช่นกัน ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากนานาชาติให้เป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบของประเทศที่มีระบบการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ที่ดี อิงอยู่กับหลักฐานเชิงประจักษ์ อย่างไรก็ตาม การประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์มีข้อจำกัดที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพของระบบแต่อาจละเลยประเด็นเรื่องความเป็นธรรม (equity) กล่าวคือ การช่วยเหลือคนด้อยโอกาสในสังคมให้ได้รับประโยชน์มากกว่าคนที่มีโอกาสดีในสังคม เช่น ปีสุขภาวะของคนมีเศรษฐานะดีกว่ามีค่าเท่ากับปีสุขภาวะของคนที่มีเศรษฐานะด้อยกว่า และการลงทุนในมาตรการสุขภาพสำหรับคนมีเศรษฐานะดีกว่าอาจมีต้นทุนต่อปีสุขภาวะที่ต่ำกว่าการลงทุนในมาตรการสุขภาพสำหรับคนมีเศรษฐานะด้อยกว่า กลายเป็นว่านโยบายในระบบประกันสุขภาพอาจโน้มเอียงไปในทางที่ให้ประโยชน์กับคนที่มีเศรษฐานะดีกว่าได้ ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีนักเศรษฐศาสตร์พยายามหาวิธีการประเมินที่แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวด้วยการคำนวณต้นทุนและประโยชน์จากการลงทุนในมาตรการด้านสุขภาพตามกลุ่มเศรษฐานะที่แตกต่างกันและนำมาคำนวณเป็นค่าความคุ้มค่าที่ปรับด้วยข้อมูลด้านความเป็นธรรม ที่เรียกว่า Distributional Cost-Effectiveness Analysis หรือ DCEA การประเมินความคุ้มค่าด้วยวิธี DCEA เป็นเรื่องใหม่ โดยมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ศึกษาเรื่องนี้ เช่น สหราชอาณาจักร ด้วยเหตุนี้ คณะผู้วิจัยจากโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ หรือ HITAP กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการประเมินความคุ้มค่าเพื่อพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์และดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศไทยในด้านนี้มาตลอดจึงสนใจที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการประเมินความคุ้มค่าด้วยวิธี DCEA ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยดำเนินการร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติประเทศสิงคโปร์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Hitotsubashi ประเทศญี่ปุ่น และผู้เชี่ยวชาญจาก University of York ประเทศอังกฤษเพื่อดำเนินการประเมินความคุ้มค่าด้วยวิธี DCEA ของกรณีศึกษา ขั้นตอนแรกคือการประเมินสถานการณ์การกระจายตัวด้านสุขภาพ (baseline health distribution) ของประเทศไทยในปัจจุบัน ในแง่ของอายุสุขภาวะคาดเฉลี่ย (quality-adjusted life expectancy) จำแนกตามดัชนีสินทรัพย์ (asset index) รวมทั้งการวิเคราะห์การแลกเปลี่ยน (trade-off) ระหว่างการเพิ่มผลลัพธ์ทางสุขภาพ (efficiency) กับการลดความไม่เสมอภาคทางสุขภาพ (equality) จากผลการตอบแบบสำรวจระดับความหลีกเลี่ยงความไม่เสมอภาคในการรับบริการทางสุขภาพ (health inequality aversion survey) จากการประเมินสถานการณ์การกระจายตัวด้านสุขภาพ (baseline health distribution) ในประเทศไทย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของอายุคาดเฉลี่ย (life expectancy) ของประชากรในแต่ละควินไทล์ ซึ่งจำแนกตาม asset index โดยพบว่า กลุ่มประชากรที่มีดัชนีสินทรัพย์ต่ำ (กลุ่มประชากรในควินไทล์ที่ 1) มีอายุคาดเฉลี่ยน้อยกว่ากลุ่มประชากรที่มีดัชนีสินทรัพย์สูง (กลุ่มประชากรในควินไทล์ที่ 5) ประมาณ 14 ปี ซึ่งเป็นข้อมูลสนับสนุนความไม่เสมอภาคในสังคมไทยในปัจจุบัน จากการสำรวจข้อมูลในกลุ่มผู้กำหนดนโยบายและกลุ่มประชาชนทั่วไปทั้งในรูปแบบซึ่งหน้า (inperson) และรูปแบบออนไลน์ (online) เพื่อประมาณการระดับการหลีกเลี่ยงความไม่เสมอภาคในการเข้ารับบริการทางสุขภาพ (health inequality aversion) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้กำหนดนโยบายและกลุ่มประชาชนทั่วไปหลีกเลี่ยงความไม่เสมอภาคในการเข้ารับบริการทางสุขภาพ และยินยอมที่จะแลกเปลี่ยน (trade-off) ประสิทธิภาพของการรับบริการทางสุขภาพ (efficiency) บางส่วนเพื่อลดระดับความไม่เสมอภาคทางสุขภาพ (equality) ทั้งนี้ เมื่อทำการเปรียบเทียบผลการสำรวจระหว่าง 2 กลุ่ม พบว่า กลุ่มประชาชนทั่วไปมีระดับการหลีกเลี่ยงความไม่เสมอภาคในการเข้ารับบริการทางสุขภาพสูงกว่ากลุ่มผู้กำหนดนโยบาย การศึกษานี้ถือเป็นก้าวแรกที่พิจารณาประเด็นด้านความไม่เสมอภาคด้านสุขภาพในกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างจริงจังผ่านการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ขั้นตอนต่อไป (ระยะที่ 2) คือ การนำผลการวิจัยจากระยะที่ 1 นี้ (baseline health distribution และ health inequality aversion index) มาใช้กับแบบจำลองการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อทำให้การประเมินความคุ้มค่าแบบ DCEA ครั้งแรกในประเทศไทยเสร็จสมบูรณ์ โดยข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายที่ต้องคำนึงถึงเป้าหมายในการทำให้ประชาชนไทยทุกคนได้รับบริการทางสุขภาพอย่างเสมอภาคถ้วนหน้า

บทคัดย่อ
Economic evaluation is an essential tool to support the development of the universal coverage benefit package (UCBP) under the universal health coverage in Thailand since 2008. The National Drug Subcommittee (for the National List of Essential Medicine or NLEM) has started using the economic evidence (e.g. cost-effectiveness and budget impact) to support the selection of high-cost medications (in the category of E2), and, in the subsequent year, the UCBP Subcommittee under the National Health Security Office also incorporated the consideration of economic evidence for non-pharmaceutical products. The use of economic evidence has, to a certain level, improved the efficiency of our healthcare system as health interventions with lower cost and more effectiveness would have higher chance to be included in the benefit package than those with higher cost and lower effectiveness. It has now been over 15 years since Thailand has incorporated economic evidence to support the policy- and decision-making process to support our communities. Economic evaluation does have a limitation in that, with the focus on efficiency, this approach may not objectively have considered health equity. For example, health interventions targeting to assist those with higher income (more asset or wealth) may require lower cost than interventions to help those with lower income. Consequently, more health selected interventions were supporting those with higher income than lower income. To respond to this limitation, a method was created which aims to objectively incorporate health inequity into economic evaluation and the method is now known as a distributional cost effectiveness analysis or DCEA. DCEA is an innovative area where very few countries have explored. Therefore, the Health Intervention and Technology Assessment Program (HITAP) under the Thai Ministry of Public Health (a research organization with one of the missions to support the conduct of economic evaluations for UCBP and NLEM) aims to build capacity for our country to conduct DCEA in Thailand in collaboration with researchers from the National University of Singapore, the Hitotsubashi University in Japan, and the University of York in United Kingdom. To complete a DCEA, the first step would be to obtain information on baseline health distribution by asset index (from a secondary data analysis) and to estimate a health inequality aversion index (from a survey). The analysis of baseline health distribution showed that people in the lowest quintile of asset index (people with lower asset and subsequently income) reported lower life expectancy than those in the highest quintile with a difference of approximately 14 years. This finding may represent an evidence of health inequity in the Thai community today. From the health inequality aversion survey on both policy-makers and the general public in both in-person and online format, the Thai people have reported strong support for health equality. The people were even willing to trade off efficiency if it were to mean lower health inequality. Specifically, when compared to policy-makers, the general public were more willing to trade off efficiency for equality. This study is the first step for our community to seriously consider health inequity in the decision-making process through the conduct of an economic evaluation. The next phase will focus on applying the findings from this phase (on baseline health distribution and health inequality aversion index) into an economic model to complete the first DCEA in Thailand where the evidence could assist policy-makers in ensuring that everyone in Thailand has access to health equally.
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hs3312.pdf
ขนาด: 6.955Mb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 1
ปีงบประมาณนี้: 1
ปีพุทธศักราชนี้: 7
รวมทั้งหมด: 7
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Research Reports [2516]

    งานวิจัย

ชิ้นงานที่เกี่ยวข้อง

แสดงชิ้นที่เกี่ยวข้องโดย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ผู้สร้าง และหัวเรื่อง

  • การประเมินศักยภาพของระบบสุขภาพในความพร้อมรับมือการระบาดโรค COVID-19 ในพื้นที่ชายแดน จังหวัดเชียงราย 

    อนุสรณ์ อุดปล้อง; Anusorn Udplong; ธวัชชัย อภิเดชกุล; Tawatchai Apidechkul; ฟาติมา ยีหมาด; Fartima Yeemard (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2565-10)
    การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพของบุคลากรและระบบสุขภาพในการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19 ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดเชียงราย คือ ...
  • การพัฒนาประสิทธิภาพทางการคลังที่ยั่งยืนสำหรับระบบหลักประกันสุขภาพ และแบบจำลองการจัดสรรทรัพยากรกำลังคนด้านสุขภาพ 

    ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย; Theepakorn Jithitikulchai (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2564-06)
    โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) พื้นที่การคลังสาธารณสุข: ประมาณการช่องว่างในการกำหนดงบประมาณ (Fiscal Space) ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและระบบสาธารณสุข และ 2) การจัดสรรบุคลากร: ศึกษาช่องว่างอุปส ...
  • ประชุมวิชาการระดับนานาชาติ สมาคมนักระบาดวิทยาภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านสาธารณสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน 

    ธวัชชัย อภิเดชกุล; Tawatchai Apidechkul (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2565-11)
    การประชุมวิชาการระดับนานาชาติ สมาคมรักระบาดวิทยาภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านสาธารณสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน (The 14th SEA Regional Scientific Meeting of the International Epidemiological Association and International ...

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [628]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [102]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [287]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [128]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [162]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1319]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [233]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [21]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV