บทคัดย่อ
การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุน ประสิทธิผลของการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินสุลินในกลุ่มเสี่ยงเบาหวานโดยประยุกต์ใช้คะแนนความเสี่ยงโรคเบาหวานสำหรับคนไทยวัดประสิทธิผล ประชากรศึกษาคือกลุ่มเสี่ยงเบาหวานตามเกณฑ์คัดกรองด้วยวาจาและมีระดับน้ำตาลในเลือดผิดปรกติ 1,182 ราย ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 400 คนที่สมัครใจเข้าร่วมกิจกรรมค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และกลุ่มควบคุมที่รับบริการ9ามปรกติ 410 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินคะแนนความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน แบบบันทึกต้นทุนของผู้รับและหน่วยบริการ กิจกรรมป้องกันปฐมภูมิโรคเบาหวานของค่ายกระตุ้นความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าอัตราส่วน ทดสอบความแตกต่างทางสถิติด้วยการทดสอบทีและการทดสอบทีจับคู่ กำหนดความเชื่อมั่นทางสถิติที่ระดับ 0.05 การศึกษาพบว่า (1) กิจกรรมค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดอุบัติการณ์การเป็นโรคเบาหวานในกลุ่มทดลองได้ถึง 7.49 เท่า เทียบกับกลุ่มควบคุม (ค่าความเสี่ยงสัมพัทธ์ คือ 7.49 และเป็นผลให้ค่าเฉลี่ยของทั้งคะแนนความเสี่ยงและค่าความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อีกทั้งยังลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานโดยมีผลต่อค่าเฉลี่ยของดัชนีมวลกายและระดับแรงดันเลือดในกลุ่มทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ด้วย การปรับวิถีชีวิต แต่ปัจจัยเสี่ยงด้านความยาวรอบเอวไม่เปลี่ยนแปลง (2) ประสิทธิผลการป้องกันปฐมภูมิการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงพิจารณาจากส่วนต่างของค่าความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานที่ป้องกันได้เท่ากับ 0.0198 หรือพิจารณาจากอัตราอุบัติการณ์ของกลุ่มเสี่ยงที่มีค่าคะแนนความเสี่ยงโรคเบาหวานลดลงเท่ากับ 0.2375 (3) ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ของการป้องกันปฐมภูมิการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยง โดยกิจกรรมค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบไม่ค้างคืนเท่ากับ 357,000 บาท โดยเป็นการะต้นทุนของผู้รับบริการร้อยละ 20.31 (4) ต้นทุน ประสิทธิผลของการป้องกันปฐมภูมิการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงโดยกิจกรรมค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเท่ากับ 18,035,353 บาท ต่อหนึ่งหน่วยค่าความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานที่ป้องกันได้ หรือเท่ากับ 1,503,578.9 บาทต่อหนึ่งหน่วยอัตราอุบัติการณ์ของกลุ่มเสี่ยงที่มีค่าคะแนนความเสี่ยงโรคเบาหวานลดลง
บทคัดย่อ
The objective of this quasi-experimental research was to apply the Thai diabetes
risk score for evaluating diabetes prevention outcome in order to conduct a cost-effectiveness
analysis of diabetes primary prevention for prediabetes. The study population
included 1,182 cases of prediabetes selected by verbal screening criteria and impaired
fasting glucose level (100 - 125 mg/dl); they were divided into two study groups for
comparison. The experimental group consisted of 400 prediabetes cases who agreed to
participate in a prediabetic day camp; the control group comprised 410 prediabetes cases
receiving ordinary health-care services. The instruments used for collecting the data were
questionnaires, Thai diabetes risk score, customer and provider cost data recording profiles,
practice guidelines for a diabetes prevention program in a day camp. Data were
analyzed statistically, using frequency, percentage, mean, standard deviation, and ratio;
they were comparatively analyzed by t-test and paired t-test at the 0.05 level of statistical
significance.
The results of this study were as follows: (1) prediabetic day camp activities effected
a reduction in the cumulative incidence of developing diabetes by a factor of 7.49 times in
the experimental group (relative risk = 7.49) compaired with the control group; it also
statistically significantly decreased the average diabetes risk score and the probability
level of the sample in the day camp compared with those in the control group. Furthermore,
the risk factors for diabetes reduced from lifestyle modification caused a statistical
decrease that was significant (p < 0.05) on both average BMI and BP level, except for
waist circumference; (2) the effectiveness of diabetes primary prevention for prediabetes
justified by summation of the individual differences in diabetes risk probability before
and after intervention was 0.0198; otherwise the cumulative incidence of lower diabetes
risk score for prediabetes in the experimental group revealed a score of 0.2375; (3) the
economic cost of diabetes primary prevention for prediabetes in the prediabetic day camp
was 357,100 Baht, with the opportunity cost being 20.31 percent compared with the total
cost; (4) the cost-effectiveness ratio of diabetes primary prevention for prediabetes in the
day camp was 18,035,353 Baht per effective diabetes risk probability prevented and/or
1,503,578.9 Baht per effective cumulative incidence prevented.
It was recommended that (1) the research findings should provide important information
for policy decisions to apply the Thai diabetes risk score for evaluating diabetes
prevention outcome; (2) comparative cost-effectiveness analysis of diabetes primary prevention
for prediabetes should also be studied by other health-care teams on a long-term
basis.