บทคัดย่อ
ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้บุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลต้องมีภาระงานเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะวิชาชีพพยาบาลที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยโดยตรง ทำให้ต้องมีการบริหารอัตรากำลังด้านการพยาบาลและพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลเป็นการใหญ่ซึ่งแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละโรงพยาบาล การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ถอดบทเรียนการบริหารจัดการกำลังคนด้านการพยาบาลและสมรรถนะของพยาบาลเพื่อตอบสนองภาวะวิกฤตโควิด-19 ในระบบบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ เขตสุขภาพที่ 10 และ 2) เพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารจัดการกำลังคนด้านการพยาบาลและสมรรถนะของพยาบาล เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพช่วงตุลาคม 2564 - เมษายน 2565 ด้วยการวิเคราะห์เอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก และสนทนากลุ่ม มีผู้ให้ข้อมูลหลัก 240 คน ได้แก่ หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล พยาบาลควบคุมโรคติดเชื้อ และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ผู้ให้ข้อมูลรอง 53 คน ได้แก่ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 10 ผู้แทนสภาการพยาบาล ผู้แทนกองการพยาบาล นายแพทย์สาธารณสุข กรรมการ emergency operation center (EOC) ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และ แพทย์ผู้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อค้นพบประเด็นที่ 1) การจัดอัตรากำลังพยาบาล โดย 1.1) เกลี่ยอัตรากำลังจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งในรูปแบบจิตอาสา การขอความร่วมมือหรือสั่งการ 1.2) ปรับการขึ้นเวรจาก 8 ชั่วโมงเป็น 12 ชั่วโมง และ 1.3) มอบหมายให้หัวหน้าหอผู้ป่วยที่มีภาระงานน้อยให้ช่วยนิเทศควบคุมกำกับการปฏิบัติงานที่หอผู้ป่วยโควิด-19 และประเด็นที่ 2) การพัฒนาสมรรถนะของพยาบาล โดย 2.1) ออกแบบการเพิ่มความรู้เป็นบทเรียนในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งการป้องกันและการควบคุมการติดเชื้อ 2.2) ใช้การสอนทักษะหน้างานเป็นหลัก 2.3) พยาบาลใช้การสืบค้นหาความรู้จากสื่อออนไลน์ด้วยตนเอง และ 2.4) พยาบาลควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลได้รับบทบาทสำคัญให้เป็นผู้พัฒนาทักษะการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้กับบุคลากรทุกคน และติดตามการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดูแลผู้ป่วยและเผยแพร่แนวปฏิบัติเรื่องโควิด-19 ทั้งนี้ วิธีให้ความรู้และฝึกอบรมที่ใช้มากคือการฝึกสอนในการถอดและใส่ชุด personal protective equipment/powered air purifying respirator (PPE/PAPR) การช่วยใส่ท่อช่วยหายใจผู้ป่วยโควิด-19 การใช้เครื่องช่วยกระบวนการฟื้นชีพอัตโนมัติ การจัดท่านอนคว่ำในผู้ป่วย acute respiratory distress syndrome (ARDS) และการดูแลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น ความสำเร็จในการดำเนินการเกิดจากความร่วมมือของพันธมิตรและผู้มีส่วนได้เสีย สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ กำหนดมาตรการในการจัดอัตรากำลังและสมรรถนะที่จำเป็นของพยาบาลในสถานการณ์วิกฤต มีระบบและกลไกการจัดอัตรากำลังที่ชัดเจน มีการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และจัดสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้พยาบาลสามารถแสดงบทบาทในการดูแลผู้ป่วยเชิงวิชาชีพได้อย่างเหมาะสม
บทคัดย่อ
The increasing number of COVID-19 patients during the pandemic posed a great challenge for health care services. Nurses have a vital role, not only in providing care, but also in managing other health care services, in regard to the varied hospital resources challenges. This qualitative research aimed to synthesize lessons learned from the COVID-19 crisis experiences regarding nursing competencies and workforce management in Health Region 10 of Thailand. Document analysis, in-depth interviews, and focus group discussions were used to collect data from October 2021 to April 2022. The 293 key informants included the Ministry of Public Health (MOPH) inspector of Health Region 10, representatives of the Thailand Nursing and Midwifery Council, representatives of the Nursing Division of the MOPH, the provincial chief medical officer, a group from the emergency operation center (EOC) committee, hospital directors, heads of nursing departments, physicians, infection control (IC) nurses, and nurses engaged in COVID-19 patient care. The data were analyzed using content analysis. The study revealed that: 1) workforce management in response to the crisis included 1.1) implementation of nursing staff pooled from different units through nurses volunteer co-operation or direct command; 1.2) modifying working hours from 8-hour shifts to 12-hour shifts; and 1.3) assigning head nurses of lower workload units as supervisors to the COVID-19 cohort wards. And 2) strengthening nursing competency focusing on: 2.1 designing educational modules on nursing care for COVID-19 patients with regard to infection control and prevention; 2.2) on-the-job training; 2.3) training self-directed learning skills to nurses to independently online search available COVID-19 knowledge resources; and 2.4) the IC nurses played a major role in infection control competency of the hospital staff, as well as informing the most update COVID-19 practice guidelines. The most common training sessions included the donning (putting on) and doffing (removing) of personal protection equipment (PPE) and the powered air purifying respirators (PAPR), intubation in COVID-19 patients, automatic cardiopulmonary resuscitation (auto-CPR), prone positioning in ARDS (acute respiratory distress syndrome) COVID-19 patients, and mechanical ventilation care. The key success factor for coping the crisis was the collaboration from all partners and stakeholders. The policy recommendations for the present study included setting measures for comprehensive nursing workforce management and essential competency to handle crisis situations, developing the nurse workforce system and mechanisms in order to retain nurses in the system, implementing education and training programs to promote nurses’ competency, continuously, and creating working environments conducive to nurses providing direct patient care professionally.