• TH
    • EN
    • สมัครสมาชิก
    • เข้าสู่ระบบ
    • ลืมรหัสผ่าน
    • ช่วยเหลือ
    • ติดต่อเรา
  • สมัครสมาชิก
  • เข้าสู่ระบบ
  • ลืมรหัสผ่าน
  • ช่วยเหลือ
  • ติดต่อเรา
  • TH 
    • TH
    • EN
ดูรายการ 
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Articles
  • ดูรายการ
  •   หน้าแรก
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) - Health Systems Research Institute (HSRI)
  • Articles
  • ดูรายการ
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

การดำเนินงานโครงการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจังหวัดนครราชสีมา ปีงบประมาณ 2546-2550

พัฒนา เบ้าสาทร; Patana Buosatorn; บุญช่วย นาสูงเนิน; Boonchuay Nasoongnern; พิชัย ไทยอุดม; Pichai Thaiudom; สลักจิต แก้วอรสานต์; Salugchit Kaeworasant;
วันที่: 2551
บทคัดย่อ
การศึกษาผลการดำเนินงานโครงการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารก จังหวัดนครราชสีมา ปีงบประมาณ 2546-2550 มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความสำเร็จของการดำเนินงานโครงการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกในโรงพยาบาสรัฐทั้ง 29 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2545 - 30 กันยายน พ.ศ. 2550 และเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาวิธีการดำเนินงานป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษาวิทยาการระบาดเชิงพรรณนา วิเคราะห์ผลการดำเนินงานโครงการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ในจังหวัคนครราชสีมา จากข้อมูลทุติยภูมิของหญิงที่มาฝากครรภ์และคลอดที่โรงพยาบาลของรัฐจำนวน 29 แห่ง ในปีงบประมาณ 2546-2550 และจากการติดตามทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี โดยใช้โปรแกรม Epi Info เวอร์ชั่น 3.3.2 วิเคราะห์หาค่าสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ การศึกษาพบว่าหญิงที่มาฝากครรภ์ได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 97.1 ใน พ.ศ. 2546 เป็นร้อยละ 99.7 ใน พ.ศ. 2550 ตรวจพบภาวะติดเชื้อเอชไอวีสูงสุดใน พ.ศ. 2547 เท่ากับร้อยละ 1.2 และลดลงเหลือร้อยละ 0.8 ใน พ.ศ. 2550 ผลการตรวจเชื้อเอชไอวีเป็นบวกค่อนข้างคงที่ร้อยละ 0.6-0.8 แต่หญิงที่มาฝากครรภ์มีผลการตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นบวกได้รับยาต้านไวรัส AZT เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 86.0 ใน พ.ศ. 2546 เป็นร้อยละ 100 ใน พ.ศ. 2550 โดยได้รับยาต้านไวรัส AZT อย่างเดียว > 4 สัปดาห์ก่อนคลอดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 72.7 ใน พ.ศ. 2546 เป็นร้อยละ 91.9 ใน พ.ศ. 2550 ส่วนที่เหลือได้รับยาแต่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ ใน พ.ศ. 2550 ทารกที่ได้รับยาต้านไวรัส AZT อย่างเดียว 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นเช่นกันจากร้อยละ 46.2 ใน พ.ศ. 2546 เป็นร้อยละ 78.4 ใน พ.ศ. 2550 ทารกคลอดมีชีพจากมารดาติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการติดตามเจาะเลือดเพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวีในช่วงอายุ 18-24 เดือน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 73.5 ใน พ.ศ. 2546 เป็นร้อยละ 81.6 ใน พ.ศ. 2550 ทารกทุกรายได้รับนมผสมจ่ายก่อนออกจากโรงพยาบาล ทารกที่ติดตามไม่ได้ลดลงจากร้อยละ 35.3 เป็น 18.4 ใน พ.ศ. 2546-2550 โดยมีสาเหตุเนื่องจากการย้ายที่อยู่ร้อยละ 87.5 ตามด้วยผู้ปกครองไม่ต้องการทราบผลการตรวจเลือด ร้อยละ 12.5 สำหรับเด็กที่มาเจาะเลือดเพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวี พบว่ามีผลเลือดบวกสูงสุดใน พ.ศ. 2546 ร้อยละ 6.4 และลดลงช่วง พ.ศ. 2547-2550 เป็นร้อยละ 2.6, 3.7, 1.6 และ 0.7 ตามลำดับ สรุปว่าการดำเนินงานโครงการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก จังหวัดนครราชสีมา ในปิงบประมาณ 2546-2550 ประสบความสำเร็จ สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายครบทุกโรงพยาบาล และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในช่วง พ.ศ. 2546-2550 โดยมารดาและทารกได้รับการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี และได้รับยาต้านไวรัสในสัดส่วนที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกของจังหวัดนครราชสีมา ในเด็กอายุครบ 18-24 เดือน ลดลงอย่างชัดเจนจนบรรลุเป้าหมายของประเทศ ที่ให้มีการติดเชื้อไม่เกินร้อยละ 6 ของทารกที่คลอดจากแม่ติดเชื้อ

บทคัดย่อ
A study of the outcomes of the Prevention of Mother-to-Child Transmission Project in Nakhon Ratchasima Province was aimed at assessing the achievements of 29 government hospitals in the period from October 1, 2002 to September 30, 2007, and determining strategies for improving the effectiveness of the project. This study follows a descriptive epidemiological study design. Secondary data on pregnant women attending antenatal clinics and giving birth at those hospitals, together with the outcomes of children born to HIV-infected mothers during fiscal years 2003-2007, were analyzed by the Epi Info V. 3.3.2. descriptive statistics program. The percentage of pregnant women who were tested for HIV increased from 97.1 percent in 2003 to 99.7 percent in 2007. The HIV-positive rate among pregnant women peaked in 2004 at 1.2 percent before declining to 0.8 percent in 2007. Women giving birth had relatively stable HIV infection rates (0.6-0.8%). However, the proportion of pregnant women with HIV- positive status who received antiviral drugs (AZT) rose from 86 percent to 100 percent in the period from 2003 to 2007. Those who received AZT for at least four weeks increased from 72.7 percent in 2003 to 91.9 percent in 2007, while the remainder received the antivirals for fewer than four weeks. Newborn babies receiving AZT also increased from 46.2 percent to 78.4 in 2007. The surviving babies had been monitored for HIV infection until reaching the age of 18 -24 months and the follow-up rates rose from 73.5 percent in 2003 to 81.6 percent in 2007. Every baby (100%) was provided with infant formula powdered milk before leaving the hospital. The rate of loss to follow-up decreased from 35.3 percent to 18.4 percent during the period 2003-2007. The main reason was change of address (87.5%), followed by guardians not wanting to know the HIV status of their child (12.5%). Among those infants whose blood was available for HIV testing, the HIV-positive rate was highest in 2003 at 6.4 percent (9 cases), then the number of HIV-positive infants decreased to 5 (2.6%), 6 (3.7%), 2 (1.6%), and 1 case (0.7%), respectively, during the period 2004-2007. Conclusions: Overall, the Prevention of Mother-to-Child Transmission Project in fiscal years 2003-2007 successfully achieved its objectives and was implemented at all government hospitals in Nakhon Ratchasima Province. The outcomes of the project improved during that period. The percentage of mothers and infants who were tested for HIV and received antiviral drugs increased and resulted in a drop in maternal HIV transmission in the province. Given the significant decline in the trends of the HIV infection rate among children aged 18-24 months, the project achieved the national target of lowering maternal HIV transmission below 6 percent.
Copyright ผลงานวิชาการเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หากมีการนำไปใช้อ้างอิง โปรดอ้างถึงสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติสงวนลิขสิทธิ์สำหรับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
ฉบับเต็ม
Thumbnail
ชื่อ: hsri-journal-v2n2 ...
ขนาด: 168.5Kb
รูปแบบ: PDF
ดาวน์โหลด

คู่มือการใช้งาน
(* หากไม่สามารถดาวน์โหลดได้)

จำนวนดาวน์โหลด:
วันนี้: 0
เดือนนี้: 1
ปีงบประมาณนี้: 76
ปีพุทธศักราชนี้: 40
รวมทั้งหมด: 600
 

 
 


 
 
แสดงรายการชิ้นงานแบบเต็ม
คอลเล็คชั่น
  • Articles [1366]

    บทความวิชาการ


DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV
 

 

เลือกตามประเภท (Browse)

ทั้งหมดในคลังข้อมูลDashboardหน่วยงานและประเภทผลงานปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)ประเภททรัพยากรนี้ปีพิมพ์ผู้แต่งชื่อเรื่องคำสำคัญ (หัวเรื่อง)หมวดหมู่การบริการสุขภาพ (Health Service Delivery) [619]กำลังคนด้านสุขภาพ (Health Workforce) [99]ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ (Health Information Systems) [286]ผลิตภัณฑ์ วัคซีน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Products, Vaccines and Technologies) [125]ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Systems Financing) [158]ภาวะผู้นำและการอภิบาล (Leadership and Governance) [1281]ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health: SDH) [228]วิจัยระบบสุขภาพ (Health System Research) [28]ระบบวิจัยสุขภาพ (Health Research System) [20]

DSpace software copyright © 2002-2016  DuraSpace
นโยบายความเป็นส่วนตัว | ติดต่อเรา | ส่งความคิดเห็น
Theme by 
Atmire NV